
ชาบี อลอนโซ (Xabi Alonso) เป็นชื่อที่คุ้นเคยในวงการฟุตบอลโลก ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่นที่ไม่หยุดยั้ง เขาได้สร้างประวัติศาสตร์และความสำเร็จมากมายตลอดเส้นทางอาชีพของเขา
วัยเยาว์และการเริ่มต้นอาชีพนักเตะ
ชาบี อลอนโซ เติบโตขึ้นมาในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยฟุตบอล ด้วยความที่พ่อของเขาเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพและเคยคว้าแชมป์ลาลีกา ทำให้เขาซึมซับเกมลูกหนังตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กในเมืองซาน เซบาสเตียน ซึ่งเป็นที่ที่ครอบครัวของเขาย้ายมาอาศัยอยู่ และได้ฝึกฝนฝีเท้าร่วมกับเพื่อนสนิทอย่างมิเกล อาร์เตตา
อลอนโซ่เข้าอะคาเดมีของเรอัล โซเซียดาด และพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการจ่ายบอลอันแม่นยำและการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้ได้รับการจับตามองจากโค้ช ในปี 1999 เขาถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเรอัล โซเซียดาด ขณะอายุเพียง 18 ปี แม้ช่วงแรกเขาจะถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นกับเอเซเด เอย์บาร์ แต่การกลับมาในฤดูกาล 2002–03 ได้พิสูจน์ว่าเขาคือหัวใจสำคัญของทีม ด้วยการพาสโมสรจบอันดับที่ 2 ของลาลีกา เป็นรองแชมป์เพียงแค่เรอัล มาดริด นับเป็นผลงานที่ดีที่สุดของโซเซียดาดในรอบหลายทศวรรษ และเป็นก้าวแรกที่ทำให้อลอนโซเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลสเปน
การย้ายสู่ลิเวอร์พูลและความสำเร็จในอังกฤษ
ชาบี อลอนโซ เป็นหนึ่งในผู้เล่นชุดแรกที่ราฟาเอล เบนิเตซ ดึงตัวมาสร้างลิเวอร์พูลยุคใหม่ ความสามารถในการคุมจังหวะเกมและการจ่ายบอลที่แม่นยำของเขาทำให้แดนกลางของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเกมที่ทีมพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 0-3 กลับมาตีเสมอเอซี มิลาน 3-3 ในนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2005 นั้น อลอนโซเป็นคนซัดจุดโทษที่ถูกดีดออกมาเข้าไปเป็นประตูสำคัญ
นอกจากแชมป์ยุโรปแล้ว เขายังเป็นกำลังหลักในแชมป์เอฟเอคัพปี 2006 และช่วยทีมจบอันดับรองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2008–09 โดยมีส่วนสำคัญในการผลักดันทีมให้กลับมาเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของอังกฤษอีกครั้ง
การกลับสู่สเปนกับเรอัล มาดริด
การย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริดของชาบี อลอนโซ่ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้าง “กาลักติโกส” รุ่นใหม่ภายใต้การคุมทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ และต่อมาโชเซ่ มูรินโญ่ เขากลายเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง ด้วยบทบาทตัวคุมจังหวะเกมที่ช่วยให้ทีมมีสมดุลระหว่างเกมรุกและรับ
อลอนโซ่มีบทบาทสำคัญในแชมป์ลาลีกาปี 2011–12 ซึ่งเรอัล มาดริดทำสถิติยิงประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ลีก (121 ประตู) และในปี 2014 เขามีส่วนช่วยให้ทีมคว้า “ลา เดซิม่า” หรือแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 10 แม้จะไม่ได้ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ แต่เขาคือฟันเฟืองสำคัญตลอดฤดูกาล
การผจญภัยในเยอรมนีกับบาเยิร์น มิวนิก
การย้ายมาสู่บาเยิร์น มิวนิกของชาบี อลอนโซ ในปี 2014 เกิดขึ้นภายใต้การคุมทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งมองว่าเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในระบบการเล่นของทีม อลอนโซ่เข้ามาแทนที่โทนี่ โครสที่ย้ายไปเรอัล มาดริด และปรับตัวเข้ากับฟุตบอลเยอรมันได้อย่างรวดเร็ว
เขากลายเป็นแกนหลักของแดนกลางที่ช่วยให้บาเยิร์นครองเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการควบคุมจังหวะการเล่นและการกระจายบอลที่แม่นยำ นอกจากแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยแล้ว เขายังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ผ่านบอลสำเร็จมากที่สุดในบุนเดสลีกาต่อหนึ่งเกม (204 ครั้ง) ก่อนจะอำลาสนามในปี 2017 ด้วยการเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ระดับตำนาน
ความสำเร็จในนามทีมชาติสเปน
ชาบี อลอนโซ เป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของทีมชาติสเปนในช่วง “ยุคทอง” ที่ครองความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลโลก โดยเขามีบทบาทสำคัญในระบบ “ติกิ-ตาก้า” ของทีมภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ อาราโกเนส และบิเซนเต้ เดล บอสเก้
อลอนโซ่ลงเล่นทุกนัดในฟุตบอลโลก 2010 และมีบทบาทสำคัญในรอบน็อกเอาต์ โดยเฉพาะเกมรอบชิงชนะเลิศกับเนเธอร์แลนด์ที่เขาถูกไนเจล เด ยอง ทำฟาวล์หนัก แต่ยังคงเล่นต่อจนจบการแข่งขัน ในยูโร 2012 นัดที่ 100 ของเขากับทีมชาติ อลอนโซ่ยิงสองประตูพาทีมชนะฝรั่งเศส 2-0 ก่อนที่สเปนจะป้องกันแชมป์ได้ด้วยฟอร์มอันไร้เทียมทาน

การเปลี่ยนผ่านสู่บทบาทผู้จัดการทีม
หลังจากอำลาสนามในปี 2017 ชาบี อลอนโซ ตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางการเป็นโค้ชทันที โดยเริ่มต้นจากการศึกษาหลักสูตรโค้ชระดับ UEFA Pro License ก่อนจะได้รับโอกาสคุมทีมเยาวชนเรอัล มาดริด รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี
ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการทำงานกับอะคาเดมีของเรอัล มาดริด ช่วยให้เขาพัฒนาสไตล์การคุมทีมของตัวเอง เมื่อได้รับงานคุมทีมเรอัล โซเซียดาด เบ ในปี 2019 เขาได้นำแนวทางการเล่นที่ผสมผสานเกมรุกสมัยใหม่กับระบบการคุมจังหวะเกมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง จนสามารถพาทีมเลื่อนชั้นสู่เซกุนด้า ดิวิชั่น ในปี 2021 ถือเป็นก้าวแรกที่พิสูจน์ศักยภาพของเขาในฐานะโค้ช
การคุมทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และการสร้างประวัติศาสตร์
เมื่อชาบี อลอนโซ่ เข้ารับตำแหน่งเฮดโค้ชของไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ในเดือนตุลาคม 2022 ทีมกำลังเผชิญปัญหาหนักจากผลงานที่ย่ำแย่และตกไปอยู่โซนท้ายตาราง อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางการทำทีมที่ยืดหยุ่น ผสมผสานระหว่างเกมรุกที่มีประสิทธิภาพและการครองบอลที่ชาญฉลาด อลอนโซ่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง
เขาปรับแผนการเล่นให้เหมาะกับขุมกำลังที่มี โดยใช้ระบบ 3-4-3 หรือ 3-5-2 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทำให้ทีมมีความสมดุลและยืดหยุ่นมากขึ้น ผลงานของเขาทำให้เลเวอร์คูเซนจบฤดูกาล 2022–23 ในอันดับที่ 6 และคว้าตั๋วไปเล่นยูฟ่า ยูโรป้าลีก
ฤดูกาลถัดมา 2023–24 เขาพาทีมสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเป็นครั้งแรกในรอบ 120 ปีของสโมสร พร้อมสถิติไร้พ่าย 35 นัดติดต่อกัน นับเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเลเวอร์คูเซนและเป็นการประกาศศักดาของอลอนโซ่ในฐานะกุนซือระดับแถวหน้า
นี่คือตำนานบทใหม่ของชาบี อลอนโซ ในฐานะผู้จัดการทีม ที่อาจเป็นอนาคตของเรอัล มาดริด หรือทีมชาติสเปนในอนาคต