เจาะลึกเส้นทางลูกหนังของ “วาตารุ เอ็นโดะ” มิดฟิลด์เลือดซามูไรที่จากบ้านเกิดในญี่ปุ่น พาตัวเองขึ้นสู่เวทีพรีเมียร์ลีกในฐานะตัวเปลี่ยนเกมของลิเวอร์พูล พร้อมบทบาทผู้นำทีมชาติญี่ปุ่นสู่ฟุตบอลโลก และผลงานที่ทำให้ทั้งแฟนบอลและนักวิเคราะห์ต้องหันมาให้ความเคารพ

วาตารุ เอ็นโดะ

ชื่อของ “วาตารุ เอ็นโดะ” Wataru Endo อาจไม่ใช่นักเตะที่เป็นกระแสแรงหรือถูกพูดถึงมากนักเมื่อเทียบกับบรรดาซูเปอร์สตาร์ในพรีเมียร์ลีก แต่ถ้าใครติดตามลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2023/24–2025 คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะที่ “โคตรโหดแบบเงียบ ๆ” ที่สุดในทีม

เขาไม่ใช่นักเตะที่ยิงไกลแล้ววิ่งดีใจแบบโอเวอร์ เขาไม่ใช่จอมเทคนิคโชว์สกิลเหนือชั้นแบบติ๊กต็อก แต่เขาคือคนที่ลงมาแล้ว “ปิดเกมได้อยู่หมัด” แก้เกม เปลี่ยนจังหวะ และทำให้ทีมดูนิ่งขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ และนั่นคือสิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้และเชื่อมั่นในตัวเขา

จุดเริ่มต้นในวงการฟุตบอล เส้นทางลูกหนังตั้งแต่วัยเยาว์

วาตารุ เอ็นโดะ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1993 ที่โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เส้นทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความทุ่มเท เขาเริ่มต้นจากทีมเยาวชนของ Shonan Bellmare ซึ่งเป็นสโมสรระดับกลางของญี่ปุ่น ที่นี่เองที่เขาได้เรียนรู้ความหมายของการเป็น “นักเตะมืออาชีพ”

ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นความขยัน วิ่งไม่มีหมด และการอ่านเกมที่เฉียบขาด เอ็นโดะได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามในเจลีกตั้งแต่อายุยังน้อย ความมุ่งมั่นและวินัยแบบญี่ปุ่นที่ฝังอยู่ในตัวเขา กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้เขาค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีม

การเติบโตกับสโมสรในญี่ปุ่น Shonan Bellmare และ Urawa Red Diamonds

หลังจากสร้างชื่อกับ Shonan Bellmare ระหว่างปี 2010–2015 วาตารุ เอ็นโดะ ย้ายไปร่วมทีมใหญ่ของเจลีกอย่าง Urawa Red Diamonds ในปี 2016 ซึ่งที่นี่เขาได้สัมผัสกับความกดดันในระดับที่สูงขึ้น ทั้งในลีกภายในประเทศ และการแข่งขันระดับเอเชีย

Urawa Red คือหนึ่งในสโมสรที่แฟนบอลเยอะที่สุดในญี่ปุ่น และเอ็นโดะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาลงสนามอย่างสม่ำเสมอ และช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในหลายรายการ รวมถึงการคว้าแชมป์ AFC Champions League ด้วย

ก้าวสำคัญในยุโรป Stuttgart และการพิสูจน์ตัวเองในบุนเดสลีกา

ปี 2018 คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อเอ็นโดะตัดสินใจลุยยุโรปด้วยการย้ายซบ Sint-Truiden ทีมในลีกเบลเยียม แต่เพียงปีเดียวเท่านั้น เขาก็ย้ายเข้าสู่เวทีที่ท้าทายกว่ามากอย่าง VfB Stuttgart ในเยอรมนี ที่นี่แหละ… วาตารุ เอ็นโดะ ได้ฉายแสงแบบเต็มตัว

เขากลายเป็นกัปตันทีม Stuttgart อย่างรวดเร็ว ด้วยความเป็นผู้นำในสนาม ความรับผิดชอบ และความสามารถในการเชื่อมเกมรับ-รุกอย่างแนบเนียน เขาคือคนที่โค้ชไว้ใจได้เสมอในช่วงเวลาคับขัน สถิติการเข้าสกัด การตัดบอล และอัตราการจ่ายบอลแม่นยำอยู่ในระดับสูง จนแฟนบอลเริ่มเรียกเขาว่า “The Silent Engine” หรือ “เครื่องยนต์เงียบ”

บทบาทในลิเวอร์พูล ตัวสำรองผู้เปลี่ยนเกม

ฤดูกาล 2023/24 ลิเวอร์พูลมีปัญหาแดนกลางอย่างหนัก เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องสร้างแดนกลางใหม่แทบทั้งแผง และในช่วงที่หลายคนกำลังจับตามองดีลใหญ่อย่าง โดมินิก โซบอสไล หรือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กลับมีชื่อของ “วาตารุ เอ็นโดะ” โผล่เข้ามาเงียบ ๆ ในฐานะ “แผน B” ราคาประมาณ 16 ล้านปอนด์

แต่ใครจะคิด… เขากลายเป็น Key Player แบบเงียบ ๆ ที่ทำให้แฟนหงส์รักหัวปักหัวปำ

แม้จะเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวสำรอง แต่ทุกครั้งที่เขาถูกส่งลงสนาม ลิเวอร์พูลดูนิ่งขึ้น เกมรับแน่นขึ้น และหลายครั้งเขาลงมาช่วย “ปิดเกม” ได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล

ฟอร์มในฤดูกาล 2024/25 ผู้นำที่เล่นได้ทั้งรุกและรับ

ในฤดูกาล 2024/25 เอ็นโดะไม่ได้เป็นแค่ตัวสแตนด์บายอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์หลักของทีมแบบเต็มตัว เขาได้รับบทบาทในการคุมเกมแดนกลาง ทั้งการแย่งบอล การสอดเข้าทำ และการป้องกันจังหวะโต้กลับ

แม้จะอายุ 31 แต่ร่างกายเขายังฟิตเปรี๊ยะ วิ่งไม่มีหมด และสถิติในพรีเมียร์ลีกช่วงต้นปี 2025 แสดงให้เห็นว่า เขาคือหนึ่งในมิดฟิลด์ที่เข้าสกัดสำเร็จและตัดเกมได้มากที่สุดในลีก แถมในเกมใหญ่ ๆ อย่างการเจอแมนฯ ซิตี้ หรืออาร์เซนอล เขาก็โชว์ความนิ่ง ความเยือกเย็น และการอ่านเกมที่ทำให้คู่แข่งเล่นยากสุด ๆ

ผู้นำซามูไรบลู พาญี่ปุ่นสู่ฟุตบอลโลกอย่างสง่างาม

ในระดับทีมชาติ เอ็นโดะก็เป็นหัวใจสำคัญของทีมชาติญี่ปุ่น หรือ “ซามูไรบลู” เขาคือกัปตันทีมที่ทั้งเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลเคารพ นำทีมผ่านศึกหนักในเอเชีย และผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกด้วยผลงานไร้พ่าย

สไตล์การเล่นที่ไม่หวือหวาแต่ได้ผลของเขา สอดคล้องกับแนวทางของทีมญี่ปุ่นยุคใหม่ที่เน้นสมดุลและการเล่นเป็นทีมมากกว่าตัวตนของซูเปอร์สตาร์เพียงคนเดียว