092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

สตุ๊ตการ์ท ผงาดคว้าแชมป์ DFB-Pokal ฤดูกาล 2024/25 ด้วยการเอาชนะอาร์มิเนีย บีเลเฟลด์ 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ บทความนี้วิเคราะห์ลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จ กลยุทธ์ผู้จัดการทีม ระบบการเล่น และฟอร์มนักเตะจนถึงวันที่ คว้าแชมป์

สตุ๊ตการ์ท ผงาดคว้าแชมป์ DFB-Pokal 2024/25

ชัยชนะของสตุ๊ตการ์ทเหนืออาร์มิเนีย บีเลเฟลด์ 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ DFB-Pokal ฤดูกาล 2024/25 ไม่เพียงเป็นการคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของเยอรมันเท่านั้น แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของทีม “ม้าขาว” ภายใต้การนำของผู้จัดการทีมเซบาสเตียน เฮอเนส (Sebastian Hoeneß) แมตช์นี้จัดขึ้นที่โอลิมเปียสตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน ท่ามกลางบรรยากาศแฟนบอลกว่า 70,000 คน โดยเฉพาะฝั่งแฟนบอลสตุ๊ตการ์ทที่เดินทางมาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม เสียงเชียร์จากแฟน ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่ผลักดันให้นักเตะของโฮเอเนสเล่นอย่างมั่นใจตลอด 90 นาที

ในเกมนี้ สตุ๊ตการ์ทใช้โอกาสจากความผิดพลาดของฝั่งบีเลเฟลด์ได้อย่างเฉียบคม โดยได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 15 จากจังหวะที่แองเจโล สติลเลอร์จ่ายทะลุให้ นิค โวลเทอเมด หลุดเข้าไปยิงแบบไม่พลาด ก่อนที่อีกสองประตูจาก Enzo Millot และ Deniz Undav จะทำให้ทีมหนีห่าง 3-0 ภายในครึ่งชั่วโมงแรก ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นแชมป์ DFB-Pokal สมัยที่ 4 ของ VfB Stuttgart หลังจากเคยคว้าแชมป์ในปี 1954, 1958 และ 1997 และยังเป็นหลักฐานยืนยันถึงการเติบโตแบบยั่งยืนของทีมภายใต้การคุมทีมของโฮเอเนส ซึ่งยกระดับทีมจากการหนีตกชั้นในฤดูกาลก่อน สู่การเป็นแชมป์บอลถ้วยในฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม

นักเตะหลายรายสร้างผลงานน่าประทับใจตลอดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น Stiller ที่มีส่วนร่วมกับการขึ้นเกมหลายประตู หรือ Enzo Millot ที่เฉียบคมในการจบสกอร์ รวมถึงผู้รักษาประตู Alexander Nübel ที่เซฟสำคัญในช่วงท้ายเกม ช่วยให้ทีมเก็บชัยชนะไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชัยชนะในครั้งนี้ยังเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับทีมในการเตรียมตัวสู่การแข่งขันยุโรปฤดูกาลหน้า และปลุกกระแสความศรัทธาจากแฟนบอลให้กลับคืนสู่นามสโมสรอันเก่าแก่แห่งนี้อย่างเต็มภาคภูมิ

เบื้องหลังความสำเร็จของเซบาสเตียน เฮอเนส

การวางแผนระยะยาว

เฮอเนสเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในช่วงปลายฤดูกาล 2022/23 พร้อมภารกิจใหญ่ในการฟื้นฟูทีมที่เคยตกต่ำ จุดแข็งของเฮอเนสคือการสร้างทีมที่ยืดหยุ่นและเน้นการครองบอล รวมถึงการให้โอกาสนักเตะเยาวชน ตลอดระยะเวลาเพียงสองฤดูกาล เขาได้เปลี่ยนสตุ๊ตการ์ทจากทีมที่เคยหนีตกชั้นมาเป็นทีมที่มีระบบการเล่นชัดเจนและแข่งขันกับทีมชั้นนำได้อย่างสูสี การเฟ้นหาและพัฒนานักเตะดาวรุ่งอย่าง Enzo Millot และการสนับสนุนดาวเตะอย่าง Deniz Undav และ Nick Woltemade เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของโค้ชวัย 41 ปีรายนี้

การใช้ระบบการเล่นที่หลากหลาย

รูปแบบการเล่นที่หลากหลายทั้งแบบ 4-2-3-1, 4-4-2 และ 5-3-2 แล้วแต่จะเจอกับคู่แข่งใช้ระบบการเล่นแบบไหน เป็นการแก้เกมของ เฮอเนส ช่วยปลดปล่อยศักยภาพของนักเตะเกมรุกอย่าง Chris Führich, Serhou Guirassy และ Enzo Millot ได้อย่างเต็มที่ การเพรสซิ่งแบบเป็นระบบตั้งแต่แดนหน้าเป็นหัวใจสำคัญในการเอาชนะคู่แข่ง ในเกมรอบชิงฯ กับบีเลเฟลด์ แท็คติกนี้ได้ผลอย่างชัดเจน การไล่บีบพื้นที่เร็วจากแดนหน้า ทำให้คู่แข่งเสียบอลในแดนอันตรายหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประตูที่ 2 และ 3 ซึ่งเริ่มต้นจากการแย่งบอลกลางสนามของ Stiller แล้วจ่ายเร็วทะลุช่องให้ Undav และ Millot แสดงศักยภาพได้อย่างยอดเยี่ยม การที่ทีมสามารถประคองสกอร์และควบคุมจังหวะของเกมได้นั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในระบบที่ผู้เล่นมีร่วมกันอย่างลึกซึ้ง

วิเคราะห์เกมรอบชิงฯ สตุ๊ตการ์ท vs อาร์มิเนีย บีเลเฟลด์

รายชื่อผู้ทำประตู

  • นาทีที่ 15: Nick Woltemade (สตุ๊ตการ์ท)
  • นาทีที่ 22: Enzo Millot (สตุ๊ตการ์ท)
  • นาทีที่ 28: Deniz Undav (สตุ๊ตการ์ท)
  • นาทีที่ 66: Enzo Millot (สตุ๊ตการ์ท)
  • นาทีที่ 81: Julian Kania (บีเลเฟลด์)
  • นาทีที่ 85: Josha Vagnoman (ทำเข้าประตูตัวเอง – บีเลเฟลด์)

สถิติการแข่งขัน

  • ครองบอล: สตุ๊ตการ์ท 62% – บีเลเฟลด์ 38%
  • ยิงทั้งหมด: 17 (สตุ๊ตการ์ท) – 9 (บีเลเฟลด์)
  • ผ่านบอลสำเร็จ: 88% – 74%
  • โอกาสยิงเข้ากรอบ: 7 – 3
  •  เตะมุม: 6 – 4
  • ฟาวล์: 9 – 13

จุดเปลี่ยนของเกม

การขึ้นนำอย่างรวดเร็วในครึ่งแรกช่วยให้สตุ๊ตการ์ทสามารถควบคุมจังหวะของเกมได้หมด แม้บีเลเฟลด์จะตีไข่แตกได้ในครึ่งหลัง แต่ลูกยิงปิดเกมจาก Jamie Leweling กลับมาซีลชัยชนะไว้เรียบร้อย การเล่นที่แน่นอนของแดนกลางนำโดย Angelo Stiller เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สตุ๊ตการ์ทครองเกมได้ทั้งในแง่ของจังหวะและการกดดันฝั่งตรงข้าม ความผิดพลาดซ้ำ ๆ ของแนวรับบีเลเฟลด์ถูกลงโทษทันทีจากเกมรุกที่เฉียบคมของม้าขาว นอกจากนี้การเปลี่ยนตัวที่แม่นยำของโฮเอเนสในช่วงท้ายเกมยังช่วยให้ทีมรักษาความได้เปรียบไว้ได้จนจบการแข่งขัน

ฟอร์มของผู้เล่นหลักสตุ๊ตการ์ท ฤดูกาล 2024/25

  1. Serhou Guirassy – ดาวยิงผู้แบกทีม กองหน้าทีมชาติกินีทำประตูได้ 27 ประตูจากทุกรายการ เป็นหัวใจหลักของแนวรุกทีม และเป็นผู้เล่นที่สร้างความหวาดกลัวให้แนวรับคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งในการเล่นบอลกับตัว การเข้าทำที่เฉียบคม และการโหม่งที่แม่นยำ ทำให้เขาเป็นอาวุธสำคัญในแท็คติกของเฮอเนสในฤดูกาลนี้
  2. Chris Führich – ความเร็วและความคล่องตัว Führich สร้างโอกาสได้เฉลี่ย 2.8 ครั้งต่อเกมใน DFB-Pokal และทำไป 3 แอสซิสต์ในรายการนี้ เขาเป็นนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในการเจาะแนวรับคู่แข่งทางริมเส้น การเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งและการเปิดบอลแม่นยำช่วยเพิ่มมิติให้กับเกมรุกของทีม เขายังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็ว
  3. Waldemar Anton – กัปตันผู้มั่นคง Anton เป็นกำลังหลักในแนวรับ ด้วยการเข้าสกัดแม่นยำและการสั่งการเกมจากแนวหลัง เขามีอัตราชนะลูกกลางอากาศสูง และคอยประคองเกมรับให้ทีมมีความมั่นคง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คู่แข่งพยายามเร่งเกมรุกในครึ่งหลัง นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำของเขายังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมมีความมั่นใจและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทุกนัดสำคัญ

ความหมายของแชมป์นี้ต่อสโมสร

  1. ตั๋วลุยยูโรปาลีก: การคว้าแชมป์ DFB-Pokal ทำให้สตุ๊ตการ์ทได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรปาลีก ฤดูกาล 2025/26 ซึ่งนับเป็นการกลับคืนสู่เวทียุโรปอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ความสำเร็จนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมและสร้างโอกาสใหม่สำหรับนักเตะในการแสดงศักยภาพในระดับนานาชาติ
  2. ฟื้นภาพลักษณ์ทีมใหญ่: นับเป็นแชมป์รายการหลักครั้งแรกในรอบ 27 ปี นับตั้งแต่คว้า DFB-Pokal ครั้งสุดท้ายในปี 1997 การประสบความสำเร็จในถ้วยสำคัญของประเทศทำให้สตุ๊ตการ์ทกลับมาอยู่ในแผนที่ของฟุตบอลเยอรมันอีกครั้ง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนบอลรุ่นใหม่ และปลุกศรัทธาจากแฟนบอลรุ่นเก่าที่เฝ้ารอความสำเร็จมานาน
  3. เพิ่มมูลค่าทีม: นักเตะหลายรายได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ เช่น Guirassy, Millot และ Anton ซึ่งการคว้าแชมป์รายการสำคัญยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นที่จับตามองมากขึ้น การบริหารจัดการนักเตะในช่วงตลาดซื้อขายจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สโมสรต้องเตรียมวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งเพื่อรักษาขุมกำลังหลักไว้ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งสำหรับฤดูกาลหน้า

เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ

ตลอดเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ DFB-Pokal ฤดูกาล 2024/25 สตุ๊ตการ์ทต้องเจอกับคู่แข่งหลากหลายระดับ ตั้งแต่ทีมดิวิชันล่างจนถึงทีมระดับบุนเดสลีกาชั้นนำ โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศที่ต้องเผชิญกับแชมป์เก่าอย่างอาร์เบ ไลป์ซิก แต่ลูกทีมของเซบาสเตียน โฮเอเนสก็แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่และการเล่นอย่างมีวินัยในแท็กติกทุกนัด จนสามารถผ่านเข้ารอบชิงฯ ได้อย่างสง่างาม

  • รอบ 32 ทีม: เอาชนะ ไกเซอร์สเลาเทิร์น 2-1
  • รอบ 16 ทีม: ถล่ม ยาห์น เรเกนสบวร์ก 3-0
  • รอบ 8 ทีม: เฉือน เอาก์สบวร์ก 1-0
  • รอบรองชนะเลิศ: เอาชนะ อาร์เบ ไลป์ซิก 3-1
  • รอบชิงชนะเลิศ: เอาชนะ Arminia Bielefeld 4-2

การคว้าชัยในทุกแมตช์อย่างต่อเนื่องตลอดเส้นทางนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพที่แท้จริงของทีมม้าขาวในฤดูกาลนี้ ไม่เพียงแต่ในเรื่องของฟอร์มการเล่น แต่ยังรวมถึงจิตใจของนักเตะที่มีเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน

บทสรุปแห่งความสำเร็จและก้าวต่อไปของม้าขาว

ชัยชนะของสตุ๊ตการ์ทในศึก DFB-Pokal ไม่เพียงเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ของสโมสรเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนศักดิ์ศรีในฐานะหนึ่งในทีมใหญ่ของเยอรมนีอีกครั้ง การจัดการทีมของเซบาสเตียน โฮเอเนส ได้รับคำชมจากสื่อหลายสำนัก โดย Bild พาดหัวว่า “สตุ๊ตการ์ทกำลังกลับสู่ความยิ่งใหญ่” ขณะที่ Kicker วิเคราะห์ว่าเป็นชัยชนะที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการทีมที่เฉียบคมและการใช้แท็กติกที่ชัดเจนจากโค้ชหนุ่มรายนี้

ในโลกโซเชียล แฟนบอลยกย่อง Chris Führich ว่าเป็น “MVP” ของเกมนัดชิงฯ จากการจ่ายบอลและการพาบอลขึ้นหน้าหลายครั้งที่สร้างความแตกต่างในเกม ทั้งนี้ บรรยากาศการฉลองของแฟน ๆ ที่เบอร์ลินและทั่วเมืองสตุ๊ตการ์ท ก็เป็นภาพที่สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างทีมกับชุมชนอย่างชัดเจน

เมื่อมองไปยังฤดูกาล 2025/26 สตุ๊ตการ์ทมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่รออยู่ ทั้งในเวทียูโรปาลีกและการรักษามาตรฐานในบุนเดสลีกา สโมสรจำเป็นต้องวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อรักษานักเตะตัวหลัก พร้อมเสริมทัพในจุดที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบกับความเป็นเอกภาพในทีมเดิม

ในท้ายที่สุด การคว้าแชมป์ครั้งนี้คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่น ความสามัคคี และการพัฒนาที่มีทิศทาง ทีมสตาฟฟ์ นักเตะ และแฟนบอลทุกคนต่างมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้อย่างแท้จริง ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองบทใหม่ของสโมสรแห่งแคว้นบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก