
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีก 2025 หลังเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศที่บิลเบา พร้อมวิเคราะห์เบื้องหลังความสำเร็จอย่างละเอียดที่สุด ครอบคลุมแท็คติก, รายชื่อนักเตะ, ปฏิกิริยาหลังเกม, สถิติสำคัญ และผลกระทบต่ออนาคตของสโมสรในเวทียุโรป
Tottenham Hotspur คว้าแชมป์ยูโรปาลีก 2025
ภาพรวมการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ วันที่ 21 พฤษภาคม 2025 สนามซาน มาเมส เมืองบิลเบา ประเทศสเปน เป็นเวทีตัดสินแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีก 2024/25 ระหว่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การแข่งขันเต็มไปด้วยความตึงเครียด ความกดดัน และแรงขับเคลื่อนจากแฟนบอลที่ต้องการเห็นทีมของตัวเองสร้างประวัติศาสตร์ สเปอร์สลงสนามด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการยุติคำสาปไร้แชมป์ยาวนานถึง 17 ปี ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการคว้าถ้วยยุโรปเพื่อกอบกู้ฤดูกาลที่ไม่สม่ำเสมอ
เกมเริ่มต้นด้วยจังหวะที่ระมัดระวังจากทั้งสองทีม โดยเน้นการครองบอลและการตั้งรับที่แน่นหนา ฝ่ายแมนฯ ยูไนเต็ดมีโอกาสยิงประตูเร็วจากอาหมัด ดิยัลโล แต่ถูกเซฟได้อย่างยอดเยี่ยมจากวิคาริโอ ส่วนฝั่งสเปอร์สพยายามสร้างเกมทางฝั่งซ้ายซึ่งเป็นจุดแข็งของทีมในปีนี้ และในที่สุดจังหวะสำคัญก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 42 จากการประสานงานอันยอดเยี่ยม ริชาร์ลิซอน และ เบนตันกูร์ ทำชิ่งอย่างแม่นยำก่อนที่ปาเป ซาร์จะเปิดเข้าเขตโทษ เบรนแนน จอห์นสัน สัมผัสบอลแฉลบขาของลุค ชอว์ แล้วจังหวะที่สองบอลเด้งมาเข้าทางให้เขาซัดด้วยขวาเข้าไปตุงตาข่าย กลายเป็นประตูเดียวของเกม และประตูแห่งประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนสถานะของสโมสรทันที
นับตั้งแต่นั้น ยูไนเต็ดพยายามบุกตอบโต้ตลอดทั้งเกม แต่ไม่สามารถทะลวงแนวรับของสเปอร์สที่เล่นอย่างมีวินัยและละเอียดในแท็คติกได้ ทำให้เสียงนกหวีดยาวในนาทีสุดท้าย กลายเป็นเสียงแห่งความสุขของแฟนไก่เดือยทองทั่วโลก
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงและตัวสำรอง
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส:
- ผู้รักษาประตู: กุยเยลโม่ วิคาริโอ
- กองหลัง: เปโดร ปอร์โร, คริสเตียน โรเมโร, มิคกี้ ฟาน เดอ เวน, เดสตินี อูโดจิ (สเปนซ์ น.90)
- กองกลาง: ปาเป ซาร์ (เกรย์ น.90), อีฟส์ บิสซูม่า, โรดริโก้ เบนตันกูร์
- กองหน้า: เบรนแนน จอห์นสัน (ดันโซ น.78), โดมินิก โซลันเก้, ริชาร์ลิซอน (ซน ฮึง-มิน น.67)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด:
- ผู้รักษาประตู: อังเดร โอนานา
- กองหลัง: ลีนี โยโร, แฮร์รี แม็กไกวร์, ลุค ชอว์, นูสแซร์ มาซราอุย (ดาโลต์ น.85)
- กองกลาง: คาเซมิโร, บรูโน่ เฟอร์นันเดส, อาโรน ดอร์กู (โคบี ไมโน น.90)
- กองหน้า: อาหมัด ดิยัลโล, ราสมุส ฮอยลุนด์ (เซิร์กซี น.71), เมสัน เมาท์ (อเลฮานโดร การ์นาโช่ น.71)
การวิเคราะห์แท็คติกของทั้งสองทีม
อังเก้ ปอสเตโคกลู โค้ชชาวออสเตรเลียของสเปอร์ส ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางจากสไตล์เกมรุกเพียว ๆ มาเป็นการเล่นแบบสมดุล เน้นการควบคุมพื้นที่แดนกลางและรอจังหวะสวนกลับ การใช้ปาเป ซาร์ และบิสซูม่า ช่วยซ้อนและดักจังหวะในแดนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แบ็คสองข้างลดบทบาทเติมเกม เพื่อรักษาความมั่นคงของแนวรับ
ด้าน รูเบน อามอริม ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามควบคุมเกมด้วยการครองบอลอย่างต่อเนื่อง ใช้การวิ่งทำทางจากดิยัลโล และเฟอร์นันเดส แต่ไม่สามารถทะลวงแนวรับของสเปอร์สที่ยืนอย่างมีวินัยได้ โดยเฉพาะการเล่นเซ็ตเพลย์ที่ถูกโรเมโร และฟาน เดอ เวน ดับความหวังได้หลายครั้ง
ผู้เล่นเด่นและจุดเปลี่ยนของเกม
- เบรนแนน จอห์นสัน: ทำประตูชัยในเกมด้วยความนิ่ง แม้บอลจังหวะแรกจะแฉลบ แต่ยังสามารถตั้งสติและยิงซ้ำได้
- กุยเยลโม่ วิคาริโอ: โชว์ฟอร์มสุดยอดในช่วงท้ายเกม โดยเฉพาะจังหวะเซฟลูกโหม่งของลุค ชอว์ ในนาทีที่ 97
- มิคกี้ ฟาน เดอ เวน: เคลียร์บอลจากเส้นในจังหวะโหม่งของฮอยลุนด์ ช่วยชีวิตทีม
- คริสเตียน โรเมโร: คุมแนวรับได้แน่นหนา เล่นดุดัน แต่ไม่เสียฟาวล์ และได้รับรางวัล Man of the Match

สถิติที่น่าสนใจจากเกมและประวัติศาสตร์
- สเปอร์สคว้าแชมป์ยูโรปาลีกเป็นสมัยที่ 3 เทียบเท่ากับ อินเตอร์, ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล และแอตฯ มาดริด
- กลายเป็นทีมที่ชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้ (98 นัด)
- สเปอร์สชนะยูไนเต็ดครบ 4 นัดในฤดูกาลเดียว (2 นัดในพรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ, ยูโรปาลีก)
- สเปอร์สไม่เคยชนะเกมในสเปนมาก่อนหน้านี้ (เสมอ 3 แพ้ 4)
- 5 จาก 6 นัดชิงยูโรปาลีกล่าสุดชี้ขาดด้วยสกอร์ไม่เกิน 1 ประตู
- ทีมจากอังกฤษเข้าชิงยูฟ่ารายการเมนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์
- แมนฯ ยูไนเต็ด มีเพียง 1 นัดจาก 66 เกมหลังในรายการยุโรปที่จบลงด้วยสกอร์ 0-0
ปฏิกิริยาหลังเกมจากโค้ชและผู้เล่น
- อังเก้ ปอสเตโคกลู: “มันเป็นเรื่องของการเอาชนะความกลัว ความสงสัย และแรงกดดันในใจนักเตะทุกคน พวกเขาทำลายวัฏจักรแห่งความล้มเหลวลงได้แล้ว”
- รูเบน อามอริม: “เราคือทีมที่สร้างโอกาสได้มากกว่า แต่ฟุตบอลก็โหดร้ายในบางคืน เราต้องกลับไปเรียนรู้”
- เบรนแนน จอห์นสัน: “นี่คือการตอบโต้คำครหาที่บอกว่าสเปอร์สไม่มีวันเป็นแชมป์”
- กุยเยลโม่ วิคาริโอ: “คืนนี้ เราไม่เพียงชนะคู่แข่ง แต่เราชนะตัวเอง และสร้างประวัติศาสตร์”
คำวิจารณ์จากสื่อกีฬาชั้นนำ
- มาร์ค เพ็ตทิต (Tottenham): “สเปอร์สพิสูจน์แล้วว่าความตั้งใจ ความอดทน และวินัยสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสโมสรได้”
- สตีฟ เบตส์ (Man Utd): “จากเทพนิยายสู่บทเศร้า ยูไนเต็ดจบฤดูกาลแบบไร้แชมป์และไม่มีตั๋วแชมเปียนส์ลีก”
จุดเปลี่ยนของท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส
ชัยชนะในยูโรปาลีก 2025 เปรียบเสมือนจุดหักเหของประวัติศาสตร์สโมสร ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส ไม่เพียงปลดล็อกคำสาปไร้แชมป์ที่ลากยาวถึง 17 ปี แต่ยังยืนยันถึงศักยภาพและความสามารถของโค้ชรุ่นใหม่ นักเตะที่กล้าหาญ และแฟนบอลที่ไม่เคยละทิ้งความหวัง สโมสรพร้อมก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยความมั่นใจ เต็มไปด้วยพลังแห่งอนาคต และการกลับคืนสู่เวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่ทุกคนรอคอย
นอกจากถ้วยรางวัลแล้ว สิ่งที่สเปอร์สได้รับจากค่ำคืนนี้คือการยอมรับในระดับสากล และการปลุกไฟแห่งศรัทธาที่เคยริบหรี่ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง จากสโมสรที่ถูกมองว่า “ใกล้จะได้แชมป์เสมอ แต่ไม่เคยถึงฝั่งฝัน” กลายเป็นสโมสรที่แสดงให้เห็นว่า วินัย กลยุทธ์ และจิตวิญญาณสามารถพาไปถึงความสำเร็จได้จริง นักเตะดาวรุ่งหลายคนได้เปิดตัวสู่สายตาชาวโลก ขณะที่ผู้เล่นซีเนียร์อย่างโรเมโร, ซน และวิคาริโอ ก็แสดงความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ท็อตแนมในเวอร์ชันนี้จึงไม่ใช่แค่ “ทีมม้ามืด” อีกต่อไป แต่คือหนึ่งในผู้ท้าชิงแชมป์ของยุโรปในอนาคตอันใกล้