
ทอตแนม ฮอตสเปอร์ เปิดบ้านเอาชนะ โบโด กลิมท์ 3-1 ในศึกยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก วิเคราะห์ปัจจัยแห่งชัยชนะ พร้อมพรีวิวเกมนัดที่สองที่สนาม Aspmyra Stadion ของ กลิมท์
ไก่เดือยทองโชว์ฟอร์มดุ เปิดบ้านถล่มโบโด กลิมท์ 3-1
ค่ำคืนที่สดใสของกองเชียร์ไก่เดือยทอง วันที่ 1 พฤษภาคม 2025 ที่ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม กลายเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยความคึกคักและเสียงเชียร์กระหึ่มจากแฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 60,000 คน เมื่อ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ลงสนามต้อนรับการมาเยือนของ โบโด กลิมท์ จากนอร์เวย์ ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ศึก ยูฟ่า ยูโรปาลีก ฤดูกาล 2024/25 เกมนี้นับเป็นบททดสอบสำคัญของทีมจากลอนดอน ที่ต้องการยุติช่วงเวลาที่ไร้แชมป์ยาวนานหลายปี โดยเฉพาะในเวทียุโรปที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์มาก่อน ขณะที่โบโด กลิมท์ แม้จะชื่อชั้นเป็นรอง แต่ก็เคยสร้างเซอร์ไพรส์มาหลายครั้งในรายการนี้ การดวลกันครั้งนี้จึงถูกจับตามองในหลายมิติ
เกมเริ่มต้นยังไม่ทันครบหนึ่งนาที เบรนแนน จอห์นสัน ก็จารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ทันที เมื่อเขาทำประตูขึ้นนำให้สเปอร์สตั้งแต่วินาทีที่ 38 ซึ่งถือเป็นประตูที่เร็วที่สุดในรอบรองชนะเลิศ ยูโรปาลีก เท่าที่เคยมีมา ประตูนี้ไม่เพียงสร้างความได้เปรียบให้ทีม แต่ยังปลุกเร้าแฟนบอลและกดดันคู่แข่งทันทีตั้งแต่เริ่มเกม เจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมกเกอร์ตัวหลักของทีม มายิงประตูที่สองในนาทีที่ 34 ด้วยลูกยิงไกลสุดสวย ก่อนที่ โดมินิก โซลันกี จะมายิงจุดโทษปิดกล่องในครึ่งหลัง แม้ว่า อูลริก ซอล์ทเนส จะมายิงประตูตีไข่แตกให้โบโด กลิมท์ได้ในช่วงท้ายเกม แต่ก็ไม่เพียงพอจะเปลี่ยนแปลงรูปเกม ชัยชนะ 3-1 นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของ “ไก่เดือยทอง” ในการลุ้นผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และถือเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขากลับมาสู่เส้นทางความสำเร็จในเวทียุโรปอีกครั้ง ภายใต้การคุมทัพของ แองจ์ ปอสเตโคกลู ที่กำลังสร้างทีมได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจในฤดูกาลนี้
วิเคราะห์ปัจจัยแห่งชัยชนะของทอตแนม ฮอตสเปอร์
- การเริ่มต้นเกมที่รวดเร็วและเฉียบคม สเปอร์สเริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการทำประตูขึ้นนำตั้งแต่วินาทีที่ 38 จากเบรนแนน จอห์นสัน ซึ่งเป็นการยิงประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ
- ความสร้างสรรค์ในแดนกลาง เจมส์ แมดดิสัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสรรค์เกมรุก โดยทำประตูที่สองให้กับทีมในนาทีที่ 34 จากการผ่านบอลยาวของเปโดร ปอร์โร
- การควบคุมเกมและการป้องกันที่แข็งแกร่ง สเปอร์สควบคุมเกมได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีการครองบอลและสร้างโอกาสได้มากกว่าโบโด กลิมท์ และมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง ทำให้โบโด กลิมท์มีโอกาสยิงประตูเพียงไม่กี่ครั้ง
- การจัดการทีมของแองจ์ ปอสเตโคกลู อดีตนักเตะและผู้จัดการทีมชาวออสเตรเลีย แองจ์ ปอสเตโคกลู แสดงให้เห็นถึงการวางแผนและการจัดการทีมที่ยอดเยี่ยม โดยการเลือกผู้เล่นและแท็กติกที่เหมาะสมกับเกมนี้
ชัยชนะในเกมนี้ของทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไม่ได้เกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะเท่านั้น แต่เป็นผลจากความลงตัวในทุกจุด ทั้งการสื่อสารในสนาม ความเข้าใจในระบบการเล่น และการเตรียมความพร้อมอย่างละเอียดจากทีมงานโค้ช ทุกองค์ประกอบทำให้สเปอร์สเล่นได้อย่างมั่นใจ มีจังหวะการเข้าทำที่หลากหลาย และรับมือกับเกมบุกของโบโด กลิมท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอด 90 นาที

ความได้เปรียบก่อนนัดที่สองที่สนาม Aspmyra Stadion
แม้จะต้องออกไปเยือนในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แต่ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ยังคงอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอย่างมากจากผลการแข่งขันในเลกแรก การมีสกอร์นำถึง 3-1 ช่วยลดแรงกดดันลงอย่างมาก ขณะที่โบโด กลิมท์จะต้องเปิดเกมรุกเต็มที่เพื่อทวงประตูคืน ซึ่งอาจเปิดพื้นที่ให้สเปอร์สใช้เกมสวนกลับเล่นงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แองจ์ ปอสเตโคกลู ยังมีขุมกำลังสำรองคุณภาพดีที่สามารถโรเตชันได้โดยไม่เสียความดุดัน การจัดการสภาพจิตใจและการเตรียมความพร้อมต่อสภาพสนามที่แตกต่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบและปิดจ็อบผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
ทอตแนม ฮอตสเปอร์ กับโอกาสคว้าแชมป์ยูโรปาลีก
ชัยชนะ 3-1 ในเกมแรกทำให้ทอตแนม ฮอตสเปอร์ มีโอกาสสูงที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโรปาลีก ซึ่งจะจัดขึ้นที่สนาม Aspmyra Stadion ของ โบโด กลิม ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 หากสเปอร์สสามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมและผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ พวกเขาจะมีโอกาสเข้าไปชิงแชมป์ ซึ่งอาจจเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชนะในนัดแรก กับ แอธเลติก บิลเบา 3-0 อาจจะเป็นการเจอกันเองของทีมแกร่งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และอาจจะคว้าแชมป์ยูโรปาลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นการคว้าแชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008
แม้ในอดีต ทอตแนม ฮอตสเปอร์ จะเคยเข้าใกล้ความสำเร็จในรายการยุโรปหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยคว้าถ้วยยุโรปใด ๆ มาประดับตู้โชว์ได้เลย การผ่านเข้าสู่รอบชิงยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การไล่ล่าถ้วยรางวัลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการประกาศศักดาใหม่ของสโมสรในยุคของแองจ์ ปอสเตโคกลู ที่กำลังพาทีมกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ หากสามารถคว้าแชมป์ยูโรปาลีกได้สำเร็จ นี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ “ไก่เดือยทอง” จากทีมลุ้นพื้นที่ยุโรป ให้กลายเป็น “ผู้ท้าชิงถ้วยใหญ่” อย่างแท้จริงในฤดูกาลถัดไป ทั้งในพรีเมียร์ลีกและระดับทวีป