
ทีมชาติสเปนเฉือนเอาชนะฝรั่งเศส 5-4 ในเกมสุดมันส์แห่งศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 รอบรองชนะเลิศ พร้อมทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับทีมชาติโปรตุเกสในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ เกมนี้เต็มไปด้วยจังหวะเร้าใจ ทั้งการขึ้นนำแบบขาดลอย การคัมแบ็กของฝรั่งเศส และฟอร์มอันร้อนแรงของ ลามีน ยามาล ดาวรุ่งวัย 17 ปีที่ยิงสองประตูอย่างเหนือชั้น บทความนี้พาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของเกม ทั้งสถิติการแข่งขัน ความเห็นจากกุนซือ และวิเคราะห์แนวโน้มก่อนเกมนัดชิงที่แฟนบอลทั่วโลกต่างจับตามอง
สเปนเฉือนฝรั่งเศสสุดมันส์ 5-4
ในค่ำคืนวันที่ 5 มิถุนายน 2025 ที่สนาม MHP Arena เมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมนี ทีมชาติสเปนภายใต้การนำของหลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ สร้างผลงานที่น่าจดจำที่สุดเกมหนึ่งของยุคใหม่ ด้วยการเฉือนเอาชนะฝรั่งเศส 5-4 ในรอบรองชนะเลิศของศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแค่เป็นการพบกันของสองทีมมหาอำนาจลูกหนังยุโรปเท่านั้น แต่ยังเป็นแมตช์ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของฟุตบอลเกมรุกอันเร้าใจ ผสมผสานความไม่ยอมแพ้ของฝรั่งเศส และความเฉียบคมของสเปนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สนาม MHP Arena กลายเป็นเวทีที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เมื่อแฟนบอลกว่า 50,000 คนที่เข้ามาชมในสนามได้รับชมเกมที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งความสะใจ ความลุ้นระทึก และความดราม่า จังหวะเปลี่ยนเกมเกิดขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่มีประตูเกิดขึ้นแทบทุก 10 นาที
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้สเปนทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยืนยันถึงการพัฒนาอย่างมั่นคงของทีมกระทิงดุยุคใหม่ หลังจากเปลี่ยนถ่ายรุ่นจากยุคของ ชาบี, อิเนียสต้า และบุสเก็ตส์ มาสู่ยุคของ ลามีน ยามาล, นิโก้ วิลเลียมส์ และเปดรี้
เกมนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะธรรมดา แต่คือการแสดงพลังแห่งจิตใจ การจัดการเกม และความกล้าหาญในการเล่นเกมบุกอย่างไม่เกรงกลัวของสเปน ขณะเดียวกันก็คือเครื่องเตือนใจถึงการเสียสมาธิในช่วงท้ายเกมที่เกือบทำให้ต้องจบแบบเจ็บปวด
จากชัยชนะนี้ สเปนจะเข้าไปพบกับคู่ปรับร่วมคาบสมุทรไอบีเรียอย่าง “โปรตุเกส” ที่เอาชนะเยอรมนีมาได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นคู่ชิงที่แฟนบอลยุโรปรอคอย เพราะทั้งสองทีมต่างมีดาวรุ่งมากความสามารถและประสบการณ์ผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยรอบชิงชนะเลิศจะมีขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน 2025 ที่สนาม Allianz Arena เมืองมิวนิก เยอรมนี
การแข่งขัน เกมรุกดุดัน เกมรับหวาดเสียว
- ครึ่งแรก: สเปนขึ้นนำ 2-0 อย่างมั่นใจ สเปนเริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 22 จากการประสานงานของมิเกล โอยาร์ซาบาลที่จ่ายให้ นิโก้ วิลเลียมส์ ยิงเข้าไปอย่างเฉียบคม เพียง 3 นาทีต่อมา มิเกล เมริโน่ ทำประตูที่สองให้สเปนจากการเล่นหนึ่ง-สองกับโอยาร์ซาบาล ส่งผลให้สเปนขึ้นนำ 2-0 อย่างรวดเร็ว
- ครึ่งหลัง: ยามาลโชว์ฟอร์มเทพ ฝรั่งเศสไล่ไม่ทัน ครึ่งหลัง ลามีน ยามาล ดาวรุ่งวัย 17 ปีของสเปนโชว์ฟอร์มสุดยอด โดยยิงจุดโทษเข้าไปในนาทีที่ 54 และยิงประตูที่สองของตัวเองในนาทีที่ 67 ทำให้สเปนนำห่าง 5-1 ก่อนหน้านั้น เปดรี้ ยิงประตูที่สี่ให้สเปนในนาทีที่ 55
แม้ฝรั่งเศสจะพยายามกลับมา โดยได้ประตูจากคีลิยัน เอ็มบัปเป้ (จุดโทษ นาทีที่ 59), รายัน แชร์กี (นาทีที่ 79), และร็องดาล โคโล มูอานี (นาทีที่ 90+3) รวมถึงประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของดานี่ วิเวียนในนาทีที่ 84 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะตามตีเสมอ สเปนจึงคว้าชัยชนะ 5-4 อย่างหวุดหวิด
ดาวเด่น ลามีน ยามาล ว่าที่บัลลงดอร์
ลามีน ยามาล กลายเป็นฮีโร่ของสเปนในเกมนี้อย่างไร้ข้อกังขา ดาวรุ่งจากบาร์เซโลนาในวัยเพียง 17 ปีแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เกินวัย ทั้งความเร็ว การอ่านเกม การดวลตัวต่อตัว และการจบสกอร์ที่เฉียบคม เขายิงได้สองประตูในแมตช์นี้ หนึ่งจากจุดโทษอย่างเยือกเย็น และอีกหนึ่งจากการลากเลื้อยผ่านแนวรับฝรั่งเศสอย่างเหลือเชื่อ ก่อนซัดเข้าไปอย่างเด็ดขาด
ไม่เพียงแค่สองประตูเท่านั้น ยามาลยังสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมอีกหลายครั้ง จังหวะการเล่นของเขาทำให้แนวรับของฝรั่งเศสปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องจนต้องปรับแผนรับมืออยู่ตลอด สื่อใหญ่ทั้ง Marca, L’Équipe และ BBC ต่างชื่นชมว่าเขาคือ “เพชรเม็ดงามแห่งวงการฟุตบอลยุโรป” ที่พร้อมก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกในเวลาอันใกล้
ด้วยฟอร์มเช่นนี้ บัลลงดอร์ในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงความฝันสำหรับยามาล แต่คือความเป็นไปได้ที่จับต้องได้อย่างแท้จริง

สถิติการแข่งขัน ฝรั่งเศสครองบอลมากกว่า แต่สเปนเฉียบคมกว่า
- การครองบอล: ฝรั่งเศส 56.6% | สเปน 43.4%
- จำนวนยิงทั้งหมด: ฝรั่งเศส 24 ครั้ง | สเปน 16 ครั้ง
- การผ่านบอลสำเร็จ: ฝรั่งเศส 90% | สเปน 82%
- การเลี้ยงบอลสำเร็จ: ฝรั่งเศส 10 ครั้ง | สเปน 3 ครั้ง
แม้ว่าฝรั่งเศสจะครองเกมได้มากกว่าอย่างชัดเจน ทั้งการครองบอลและจำนวนการจ่ายบอลที่แม่นยำกว่า แต่สเปนกลับทำได้ดีกว่าในจังหวะสำคัญ โดยเฉพาะการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด การยิง 5 ประตูจาก 16 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการจบสกอร์และการวางแผนเกมรุกที่แม่นยำ ในทางกลับกัน ฝรั่งเศสแม้จะยิงมากถึง 24 ครั้ง แต่หลายจังหวะขาดความเฉียบคมและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่พวกเขาแทบไม่มีจังหวะลุ้นจะแจ้งเลย นี่คือสิ่งที่ทำให้สเปนคว้าชัยในเกมที่ฝรั่งเศสดูเหนือกว่าบนกระดาษ
ความเห็นจากผู้จัดการทีม ต้องปรับปรุงเกมรับ
หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ ผู้จัดการทีมชาติสเปน กล่าวหลังจบเกมว่า “แม้เราจะชนะ แต่การเสียสามประตูในช่วงท้ายเกมเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุง เราต้องมีสมาธิตลอด 90 นาที โดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมระดับสูงอย่างโปรตุเกสในรอบชิงชนะเลิศ” นอกจากนี้เขายังเสริมว่า การผ่อนเกมเร็วเกินไปและขาดความกระตือรือร้นในช่วงท้าย เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในฟุตบอลระดับนานาชาติ เด ลา ฟวนเต้ย้ำชัดว่า นักเตะทุกคนต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อปิดเกมให้เด็ดขาด โดยเฉพาะในแมตช์ที่เดิมพันด้วยแชมป์รายการใหญ่ระดับทวีป
สเปนพร้อมล่าแชมป์เนชั่นส์ ลีก สมัยที่สอง
ชัยชนะเหนือฝรั่งเศสในเกมสุดมันส์นี้ส่งผลให้ทีมชาติสเปนผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 โดยจะพบกับโปรตุเกสในวันที่ 8 มิถุนายน ณ สนาม Allianz Arena เมืองมิวนิก นับเป็นการเข้าชิงครั้งที่สามติดต่อกันของทัพ “กระทิงดุ” ในรายการนี้ และเป็นโอกาสทองในการคว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกัน หลังจากพวกเขาคว้าแชมป์แรกได้เมื่อปี 2023 ด้วยการเอาชนะโครเอเชียในการดวลจุดโทษ
ชัยชนะเหนือฝรั่งเศสไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพในเชิงเทคนิคของทีมเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงความกล้าหาญและความมั่นใจของกลุ่มผู้เล่นสายเลือดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นลามีน ยามาล, เปดรี้, นิโก้ วิลเลียมส์ หรือ กาบี ที่ต่างแสดงให้เห็นถึงพลังและวิสัยทัศน์ของทีมรุ่นใหม่ในเวทีระดับทวีป
การพบกับโปรตุเกส ซึ่งมีคริสเตียโน่ โรนัลโด้, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และรุย ปาทริซิโอ เป็นแกนหลัก จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของเด ลา ฟวนเต้และลูกทีม หากสามารถจัดการกับเกมรับได้ดีขึ้น นี่อาจเป็นบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของ “ภารกิจป้องกันแชมป์” แห่งยุโรป