
สโมสรฟุตบอลเซาแทมป์ตันกำลังเผชิญฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก 2024/25 หลังลงแข่งไป 30 นัด ชนะเพียง 2 นัด แพ้ถึง 24 นัด และรั้งอันดับสุดท้ายของตาราง วิเคราะห์ลึกถึงปัญหาผู้จัดการทีม ระบบการเล่น ตัวผู้เล่น และความเป็นไปได้ที่จะตกชั้นอีกครั้ง พร้อมประเมินอนาคตของทีม “นักบุญ” ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่
Southampton Football Club
สโมสรฟุตบอลเซาแทมป์ตัน (Southampton Football Club) หรือที่แฟนบอลรู้จักในชื่อ “เดอะ เซนต์ส” หรือ “นักบุญ” คือหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1885 มีประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งในแง่ของการผลิตนักเตะเยาวชนคุณภาพ การเป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้สนุกในยุคหนึ่ง และเคยเป็นบ้านของผู้เล่นระดับโลกอย่าง แกเร็ธ เบล, ธีโอ วัลค็อตต์, ลุค ชอว์, และซาดิโอ มาเน่
แต่ในช่วงหลังมานี้ เส้นทางของเซาแทมป์ตันกลับตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาล 2022/23 พวกเขาตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก หลังจบด้วยอันดับสุดท้ายของตาราง ซึ่งถือเป็นจุดตกต่ำครั้งใหญ่ในรอบหลายปี แม้ว่าจะสามารถเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วในฤดูกาลถัดไป แต่การกลับสู่พรีเมียร์ลีกในปี 2024/25 กลับกลายเป็นฝันร้ายที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
ด้วยความคาดหวังจากแฟนบอลว่า “การตกชั้นคือบทเรียน และการกลับมาคือโอกาส” เซาแทมป์ตันจึงเข้าสู่ฤดูกาลนี้ภายใต้แรงกดดันมหาศาล พวกเขาเสริมทัพพอประมาณ มีผู้เล่นแกนหลักที่ยังอยู่กับทีม และแต่งตั้ง รัสเซลล์ มาร์ติน ผู้จัดการทีมที่พาทีมเลื่อนชั้นเป็นคนเริ่มต้นฤดูกาล ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามกลับสวนทางกับความหวังอย่างสิ้นเชิง
หลังผ่าน 30 นัด พวกเขาชนะเพียง 2 เสมอ 4 และแพ้ถึง 24 นัด อยู่ในอันดับสุดท้ายของตารางคะแนน ยิงประตูน้อยที่สุด และเสียประตูมากที่สุดในลีก เส้นทางที่เคยคาดว่าจะเป็นการกลับมายืนหยัด กลับกลายเป็น “การถอยหลังครั้งใหญ่” ที่น่าเจ็บปวด บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า เกิดอะไรขึ้นกับเซาแทมป์ตันตั้งแต่ต้นฤดูกาล จนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์ทั้งในเชิงแท็กติก การบริหารทีม สภาพจิตใจของนักเตะ รวมถึงโอกาสที่ทีมจะสามารถรอดพ้นการตกชั้น หรืออาจต้องกลับสู่แชมเปียนชิพอีกครั้งในฤดูกาลหน้า
สถานการณ์ปัจจุบันของเซาแทมป์ตัน
ณ วันที่ 3 เมษายน 2025 เซาแทมป์ตันลงแข่งขันไปแล้ว 30 นัด ชนะเพียง 2 นัด เสมอ 4 นัด และแพ้ถึง 24 นัด เก็บได้เพียง 10 คะแนน จาก 90 คะแนนเต็ม ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา และเป็นหนึ่งในฟอร์มที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก พวกเขารั้งอันดับ 20 หรืออันดับสุดท้ายของตาราง ห่างจากโซนปลอดภัยถึง 13 คะแนน โดยที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 8 นัดเท่านั้น
สถิติที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่เรื่องคะแนน แต่ยังรวมถึง จำนวนประตูที่ยิงได้น้อยที่สุด และ เสียประตูมากที่สุดในลีก ณ เวลานี้ พวกเขายิงได้เพียง 18 ประตู แต่เสียไปมากกว่า 70 ประตู ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทั้งในเกมรับและเกมรุก ไม่เพียงแค่ตัวเลขในตารางที่น่ากังวล แต่ฟอร์มการเล่นในสนามก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไร้ทิศทางของทีม นักเตะขาดความมั่นใจ การเชื่อมเกมไร้ความต่อเนื่อง และขาดผู้เล่นที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ในยามคับขัน
แม้จะมีคะแนนให้เก็บอีก 24 แต้มใน 8 นัดสุดท้าย แต่ด้วยช่องว่างที่มากขนาดนี้ และฟอร์มการเล่นที่ไม่มีทีท่าจะกระเตื้อง เซาแทมป์ตันกำลังเข้าใกล้คำว่า “ตกชั้น” อีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถพลิกสถานการณ์แบบปาฏิหาริย์ได้ในช่วงเวลาที่เหลือ

การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและผลกระทบ
ในเดือนธันวาคม 2024 เซาแทมป์ตันได้ตัดสินใจปลด รัสเซลล์ มาร์ติน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังจากผลงานที่ย่ำแย่อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล โดยเฉพาะการขาดความสามารถในการพาทีมรับมือกับเกมพรีเมียร์ลีก มาร์ตินแม้จะพาทีมเลื่อนชั้นจากแชมเปียนชิพได้ แต่ดูเหมือนว่าเขายังไม่สามารถปรับแท็กติกและการบริหารนักเตะให้เข้ากับความเข้มข้นของลีกสูงสุดได้ เซาแทมป์ตันจึงตัดสินใจแต่งตั้ง อิวาน ยูริช (Ivan Jurić) ผู้จัดการทีมชาวโครเอเชียที่มีผลงานพอใช้ได้กับสโมสรโตริโนในกัลโช่ เซเรีย อา โดยหวังว่าเขาจะนำแนวทางฟุตบอลที่มีวินัยและระบบมาใช้เพื่อยกระดับทีม อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของยูริชกลับยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้มากนัก โดยใน 10 นัดแรกที่เขาคุมทีม เซาแทมป์ตันสามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 1 นัด เท่านั้น และยังคงเล่นได้ไม่เป็นระบบ
มีเสียงวิจารณ์ว่า ยูริชอาจเข้ามาช้าเกินไปในช่วงที่ทีมขวัญเสียแล้ว และไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างรูปแบบการเล่นใหม่ การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางฤดูกาลจึงไม่ได้ผลในเชิงกลยุทธ์ ขณะที่นักเตะเองก็ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับแนวทางใหม่ของเขาได้ทั้งหมด ส่งผลให้สถานการณ์ของทีมยังคงดำดิ่งลงเรื่อย ๆ
ระบบการเล่นและปัญหาภายในทีม
ยูริชพยายามนำระบบการเล่นใหม่มาใช้ทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยเน้นการเพรสซิ่งจากแดนบน การจัดวางกองกลางที่กะทัดรัด และเกมรับที่เน้นการยืนตำแหน่งอย่างมีวินัย แต่ปัญหาหลักที่เขาเผชิญคือ ขุมกำลังที่ไม่สอดรับกับแนวทางของเขา นักเตะหลายคนยังยึดติดกับระบบของผู้จัดการทีมคนเก่า และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเล่นที่เน้นพละกำลังและการเคลื่อนที่สูงได้ ในเกมรุก ทีมขาดผู้เล่นที่สามารถสร้างโอกาสได้ด้วยตัวเอง เพลย์เมคเกอร์ที่มีไอเดียหรือกองหน้าที่จบสกอร์ได้เฉียบคมแทบไม่มี ส่งผลให้พวกเขายิงประตูได้น้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ขณะที่เกมรับก็เปราะบางมาก การประสานงานระหว่างเซ็นเตอร์แบ็กมักผิดพลาด การยืนตำแหน่งไม่เป็นระบบ และฟูลแบ็กเติมเกมสูงเกินไป จนโดนสวนกลับบ่อยครั้ง
ปัญหาภายในทีมยังรวมถึง สภาพจิตใจของนักเตะ ที่ดูจะหมดไฟ ความมั่นใจถดถอย และขาดผู้นำในสนาม ไม่มีใครที่สามารถปลุกขวัญกำลังใจเพื่อนร่วมทีมได้ในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้เมื่อทีมเสียประตู ความมั่นใจก็พังครืนลงในทันที เห็นได้ชัดจากการแพ้แบบขาดลอยหลายเกมที่ไม่ควรเกิดกับทีมระดับพรีเมียร์ลีก
นักเตะและฟอร์มการเล่น
แม้ว่าจะมีนักเตะที่มีศักยภาพ เช่น ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส แบ็กขวาที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก และ ไรอัน แมนนิ่ง ที่เล่นได้ทั้งแบ็กและวิงแบ็ก แต่ฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีมในฤดูกาลนี้ยังคง ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างน่าใจหาย หลายคนไม่สามารถเค้นศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้ โดยเฉพาะผู้เล่นเกมรุกที่ไร้ความเฉียบคม และมักพลาดในจังหวะสุดท้าย กองกลางของทีมดูจะไม่มีความสร้างสรรค์มากพอในการปั้นเกม หรือแย่งบอลคืนจากคู่แข่งในแดนกลาง ส่วนแนวรับนั้นเต็มไปด้วยความผิดพลาดทั้งแบบส่วนบุคคลและทีมเวิร์ก การเสียประตูแบบง่าย ๆ ยังเกิดขึ้นซ้ำซากโดยเฉพาะจากลูกตั้งเตะ และจังหวะสวนกลับ
ที่น่ากังวลคือ นักเตะหลายคนมีท่าทีขาดความมั่นใจและไร้แรงกระตุ้น บางรายที่เคยโชว์ฟอร์มได้ดีในแชมเปียนชิพ กลับดูไร้พิษสงเมื่อเจอความเข้มข้นของพรีเมียร์ลีก จนเกิดคำถามว่า “ขุมกำลังชุดนี้พร้อมหรือยังสำหรับลีกสูงสุด” การไม่มีนักเตะระดับ “คีย์แมน” ที่สามารถแบกทีมในยามคับขัน ทำให้เซาแทมป์ตันขาดจุดเปลี่ยนในเกม และเมื่อสถานการณ์เริ่มเป็นรอง ก็มักจะเสียประตูแบบรวดเร็วโดยไม่มีใครช่วยเปลี่ยนทิศทางของเกมได้เลย

การวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคต
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสที่เซาแทมป์ตันจะรอดพ้นจากการตกชั้นมีน้อยมาก พวกเขาจำเป็นต้องเก็บชัยชนะในนัดที่เหลือเกือบทั้งหมดจาก 8 เกมสุดท้าย ซึ่งหมายถึงการต้องเก็บให้ได้อย่างน้อย 5–6 นัด และหวังให้ทีมอื่น ๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไปในตารางเกิดความผิดพลาดหลายแมตช์ ซึ่งในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ โปรแกรมที่เหลือของทีมก็ไม่ได้เบานัก พวกเขายังต้องเจอกับทีมระดับกลางตารางที่กำลังลุ้นอันดับยุโรป รวมถึงทีมที่หนีตกชั้นโดยตรง ซึ่งต่างก็ต้องการคะแนนแบบสุดชีวิต ในภาวะแบบนี้ ความกดดันในทุกนัดที่เหลือจะทวีความรุนแรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาจากฟอร์มการเล่น ความพร้อมของนักเตะ และความมั่นใจในทีมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มสูงที่ทีมจะเก็บแต้มได้น้อยกว่า 20 แต้มเมื่อจบฤดูกาล ซึ่งไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก และอาจกลายเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ “แย่ที่สุด” ของสโมสรในรอบหลายสิบปี
หากต้องตกชั้นอีกครั้งหลังเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาได้เพียงปีเดียว ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อรายได้และความมั่นคงทางการเงินของสโมสร แต่ยังอาจส่งผลต่อขวัญกำลังใจของแฟนบอล รวมถึงการรั้งตัวผู้เล่นที่มีอนาคตให้อยู่กับทีมต่อไป
นักบุญในวันที่ศรัทธาสั่นคลอน
เซาแทมป์ตันกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร พวกเขาคือทีมที่เคยมีรากฐานมั่นคงในการพัฒนาเยาวชน ผลิตนักเตะระดับโลก และเล่นฟุตบอลที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แต่ปัจจุบัน…ทีมกลับร่วงลงสู่ห้วงลึกแห่งความไม่แน่นอน แม้จะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการปลดผู้จัดการทีมเก่า และแต่งตั้งโค้ชใหม่อย่างอิวาน ยูริช หรือการปรับระบบแท็กติกและกระตุ้นนักเตะในสนาม แต่ทั้งหมดก็ยังไม่อาจหยุดยั้งความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้น
ทีมกำลังสูญเสียทั้งศรัทธา ความมั่นใจ และแนวทางที่ชัดเจน นักเตะดูจะหมดไฟ บอร์ดบริหารถูกตั้งคำถาม และแฟนบอลก็เริ่มหมดหวัง แม้จะเหลืออีก 8 นัดให้สู้ แต่โอกาสรอดนั้นก็ใกล้เคียงกับคำว่า “ปาฏิหาริย์” อย่างไรก็ตาม…ฟุตบอลยังคงเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมาย หากพวกเขาสามารถรวมพลังกันอีกครั้ง เล่นเพื่อศักดิ์ศรี และคืนสปิริตให้กับสโมสร ก็อาจยังมีบางอย่างให้ยึดเหนี่ยวได้ แม้จะไม่รอดจากการตกชั้น แต่ก็ยังสามารถวางรากฐานเพื่อการกลับมาอย่างเข้มแข็งกว่าเดิมในอนาคต เพราะแม้จะตกต่ำเพียงใด “นักบุญ” ก็ยังควรเป็นทีมที่ได้รับการเคารพในฐานะหนึ่งในสโมสรที่มีจิตวิญญาณฟุตบอลมากที่สุดในอังกฤษ