
เจาะลึกประวัติศาสตร์และผลงานของทีมชาติซาอุดิอาระเบีย หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย กับคำถามที่ยังคาใจ ทำไมถึงยังไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลก แม้จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายบ่อยครั้ง พร้อมอัปเดตฟอร์มล่าสุดและนักเตะที่ฝากความหวังได้ในปัจจุบัน
ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย
ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย หรือที่แฟนบอลรู้จักกันในชื่อ “เหยี่ยวเขียว” (Green Falcons) เป็นหนึ่งในทีมชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้นยุค 2000 ซึ่งถือเป็นยุครุ่งเรืองที่แท้จริง การเปลี่ยนผ่านจากฟุตบอลสมัครเล่นสู่ระบบอาชีพเกิดขึ้นภายใต้นโยบายของสมาคมฟุตบอลซาอุดิอาระเบีย ที่ต้องการยกระดับลีกภายในประเทศควบคู่กับการวางระบบพัฒนาเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศซาอุดิอาระเบียเริ่มให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกีฬาในระดับนโยบายของรัฐ โดยการจัดตั้งศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามแข่งขันมาตรฐานสากล รวมถึงการส่งผู้ฝึกสอนระดับโลกเข้ามาพัฒนานักเตะเยาวชนอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้คือรากฐานที่ทำให้ทีมชาติซาอุฯ กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในเวทีระดับเอเชีย
จุดเริ่มต้นและยุครุ่งเรืองในเอเชียทีมชาติซาอุดิอาระเบีย เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงในระดับเอเชียตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ด้วยการพัฒนาโครงสร้างฟุตบอลภายในประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการลงทุนในลีกภายในประเทศและเยาวชน ทำให้ทีมชาติของพวกเขาสร้างชื่อในระดับทวีปอย่างรวดเร็ว ผลงานในเอเชียนคัพ ยอดทีมที่คว้าแชมป์มากที่สุดเป็นอันดับสอง
- แชมป์เอเชียนคัพ 3 สมัย: 1984 (สิงคโปร์), 1988 (กาตาร์), และ 1996 (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
- รองแชมป์อีก 3 ครั้ง: 1992, 2000 และ 2007
- ผลงานรวม: เข้าชิง 6 ครั้งในช่วงระยะเวลาเพียง 23 ปี ถือเป็นหนึ่งในทีมที่มีผลงานดีที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชียนคัพ
ซาอุฯ มีสไตล์การเล่นที่เน้นวินัยเกมรับและใช้ความเร็วในเกมสวนกลับ บวกกับทักษะเฉพาะตัวของผู้เล่น ทำให้พวกเขาสร้างความหวาดกลัวให้กับหลายชาติในเอเชียช่วงยุค 80-90
การปรากฏตัวในฟุตบอลโลก โอกาสที่ยังไปไม่ถึงฝัน
ทีมชาติซาอุดิอาระเบียผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกมาแล้ว 6 ครั้ง ได้แก่ ปี 1994, 1998, 2002, 2006, 2018 และ 2022 โดย ครั้งแรกในปี 1994 คือผลงานที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยทำได้ นั่นคือ การเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยเฉพาะประตูสุดคลาสสิกของ ซาอีด อัล-โอวาอีรัน ที่ลากเดี่ยวเกือบครึ่งสนามยิงใส่เบลเยียม ถือเป็นหนึ่งในประตูที่จดจำได้มากที่สุดในฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 1994 ซาอุดิอาระเบีย ไม่เคยผ่านรอบแบ่งกลุ่มอีกเลย แม้ว่าจะมีนักเตะชื่อดังและศักยภาพที่น่าจับตา เหตุผลที่ยังไม่สามารถก้าวไกลในฟุตบอลโลก
- ขาดประสบการณ์ระดับสูง นักเตะซาอุฯ ส่วนใหญ่เล่นอยู่ในประเทศ แม้ลีกซาอุดิอาระเบียจะได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง โดยมีซูเปอร์สตาร์จากยุโรปเข้าร่วม แต่ผู้เล่นท้องถิ่นยังขาดโอกาสได้สัมผัสกับเกมในยุโรปอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ความเข้าใจเกมและการรับมือกับแรงกดดันระดับโลกยังเป็นปัญหา
- ความต่อเนื่องในการวางแผนทีม ซาอุดิอาระเบียเปลี่ยนโค้ชบ่อยครั้ง บางรายเข้ามาเพียงเพื่อพาทีมแข่งในรายการใหญ่ แล้วก็อำลาไป ไม่มีการวางรากฐานระยะยาว ส่งผลต่อความสม่ำเสมอของผลงาน
- ความคาดหวังและแรงกดดันสูง ทุกครั้งที่เข้าสู่ฟุตบอลโลก ทีมซาอุฯ มักแบกรับความคาดหวังจากแฟนบอลและสื่อมวลชนอย่างมหาศาล ทำให้นักเตะเล่นภายใต้ความกดดันอย่างหนัก และเกิดความผิดพลาดง่าย
ผลงานล่าสุดในเอเชียนคัพ 2024 และฟอร์มช่วงหลัง
การแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 ซึ่งถูกเลื่อนมาแข่งจริงในต้นปี 2024 ที่ประเทศกาตาร์ กลายเป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์ที่ทีมชาติซาอุดิอาระเบียแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในเวทีเอเชีย พวกเขาเริ่มต้นรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างแข็งแกร่ง คว้าชัยชนะ 2 นัด และเสมอ 1 นัด เก็บ 7 คะแนนเต็ม เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะแนวรับที่เหนียวแน่น และเกมรุกที่เน้นการเข้าทำอย่างรวดเร็วผ่านริมเส้น
อย่างไรก็ตาม ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมต้องพบกับศึกหนักในการเจอกับเกาหลีใต้ แม้จะขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากการประสานงานของแนวรุกรุ่นใหม่ แต่ความผิดพลาดในช่วงท้ายเกมกลับเปิดโอกาสให้เกาหลีใต้ตามตีเสมอ และสุดท้ายแพ้ไปในการดวลจุดโทษอย่างเจ็บปวด
แม้ผลงานจะไม่ถึงรอบลึกอย่างที่คาดหวัง แต่รูปแบบการเล่นที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายจุด เช่น การยืนตำแหน่งที่รัดกุม การเพรสซิ่งที่มีจังหวะ และการเซตเกมจากแดนกลาง ล้วนแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเชิงแท็กติกของทีมภายใต้การนำของโรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้เล่นดาวรุ่งอย่าง ฟิราส อัล-บริกัน และอับดุลลาห์ ราดิฟ เริ่มฉายแววเด่น และสามารถกลายเป็นแกนหลักในอนาคตได้อย่างมั่นคง หากมีความต่อเนื่องในการปั้นทีม ซาอุดิอาระเบียจะยังคงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับทุกชาติในเอเชียต่อไปอย่างแน่นอน

นักเตะเด่นในปัจจุบัน ความหวังใหม่ของซาอุดิอาระเบีย
1. ซาเล็ม อัล-ดอว์ซารี (Salem Al-Dawsari)
- ตำแหน่ง: ปีกซ้าย
- สโมสร: อัล ฮิลาล
- เขาคือฮีโร่ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ยิงประตูสุดสวยใส่อาร์เจนตินา
- ความสามารถในการเลี้ยงบอลและยิงไกลยังเป็นอาวุธหลักของทีม
2. โมฮัมเหม็ด คันโน (Mohammed Kanno)
- ตำแหน่ง: มิดฟิลด์ตัวรับ
- สโมสร: อัล ฮิลาล
- มีสไตล์การเล่นดุดัน และมีวินัยสูง เป็นจุดสมดุลในแดนกลางของทีม
3. ฟิราส อัล-บริกัน (Firas Al-Buraikan)
- ตำแหน่ง: กองหน้า
- สโมสร: อัล อาห์ลี
- ดาวรุ่งพุ่งแรงที่มีความสามารถในการหาพื้นที่ และมีความแม่นยำในการจบสกอร์
4. ฮัสซัน อัล-ทัมบัคติ (Hassan Al-Tambakti)
- ตำแหน่ง: กองหลัง
- สโมสร: อัล ฮิลาล
- เขาคืออนาคตของแนวรับซาอุฯ ที่เล่นได้ทั้งลูกกลางอากาศและแท็กเกิล
การเปลี่ยนแปลงของวงการฟุตบอลซาอุฯ และความหวังในอนาคต
นับตั้งแต่ปี 2022 ซาอุดิอาระเบียได้เดินหน้าเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้กลยุทธ์ Soft Power ผ่านการลงทุนดึงนักเตะระดับโลก เช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า, เนย์มาร์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และอีกหลายราย มาเสริมทัพให้กับสโมสรชั้นนำใน Saudi Pro League จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงเพื่อการตลาดหรือสร้างชื่อเสียงให้ลีกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักเตะท้องถิ่นได้สัมผัสกับมาตรฐานระดับโลกแบบใกล้ชิด ทั้งในการฝึกซ้อม การแข่งขัน และวิธีคิดแบบมืออาชีพ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลซาอุฯ ยังผลักดันโครงการพัฒนาเยาวชนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศูนย์ฝึกระดับชาติ สนับสนุนการศึกษาและกีฬาไปพร้อมกัน รวมถึงนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในระบบฝึกซ้อม ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลนักเตะ ไปจนถึงการใช้ AI ในการวางแผนการฝึกซ้อมเฉพาะบุคคล ทุกอย่างชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายระยะยาวในการยกระดับทีมชาติให้ก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทีมชาติซาอุดิอาระเบียจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหรือไม่
ซาอุดิอาระเบียยังคงเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของเอเชีย ด้วยประวัติศาสตร์และรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการต่อยอดศักยภาพเหล่านั้นไปสู่เวทีระดับโลกได้อย่างมั่นคง การพัฒนาเยาวชน การสนับสนุนโค้ชชั้นนำ และการผลักดันให้นักเตะออกไปหาประสบการณ์ในลีกยุโรป ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดัน “เหยี่ยวเขียว” ให้กลายเป็นทีมที่น่ากลัวในฟุตบอลโลก ไม่ใช่แค่ทีมที่มาแข่งขันเพื่อประสบการณ์เท่านั้น
อีกหนึ่งจุดแข็งของซาอุดิอาระเบียคือทรัพยากรที่มีอยู่มหาศาล ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และแรงสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งหากใช้สิ่งเหล่านี้อย่างถูกทิศทาง ร่วมกับการมีแผนระยะยาวที่ต่อเนื่องและยืดหยุ่น ซาอุดิอาระเบียมีศักยภาพมากพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “ม้ามืด” หรือแม้กระทั่ง “ทีมลุ้นเข้ารอบลึก” ของฟุตบอลโลกได้ในอีกไม่กี่ทัวร์นาเมนต์ข้างหน้า