092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

โปรตุเกสโชว์ฟอร์มสุดยอด พลิกสถานการณ์จากที่ตามหลัง กลับมาเอาชนะเจ้าภาพเยอรมนี 2-1 ในรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 ที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา เมืองมิวนิก โดยฟรานซิสโก้ คอนไซเซา ยิงตีเสมอสุดสวย ก่อนที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงวัย 40 ปี จะซัดประตูชัยในนาทีที่ 68 ส่งทัพฝอยทองเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ รอพบผู้ชนะระหว่างทีมชาติสเปนและฝรั่งเศสในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ ความหวังคว้าแชมป์สมัยที่สองของโปรตุเกสอยู่แค่เอื้อม ขณะที่ชัยชนะครั้งนี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างประสบการณ์และพลังดาวรุ่งได้อย่างลงตัว

โปรตุเกสพลิกสถานการณ์ในครึ่งหลัง

เกมรอบรองชนะเลิศของศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 ระหว่าง เยอรมนี เจ้าภาพ และ โปรตุเกส ที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา มิวนิก เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2025 ดำเนินไปอย่างเข้มข้นตั้งแต่เริ่มเขี่ยลูก ทั้งสองทีมต่างมีแผนรับมือกันอย่างรัดกุมโดยเฉพาะในครึ่งแรก เกมเต็มไปด้วยการต่อสู้ในแดนกลาง โอกาสยิงมีไม่มากนัก แม้เลออน โกเร็ตซ์ก้า จะได้จังหวะยิงในนาทีที่ 4 แต่ก็เบาเกินกว่าจะผ่านมือ ดีโอโก้ คอสต้า ไปได้ จบ 45 นาทีแรกแบบไร้สกอร์ 0-0

เปิดฉากครึ่งหลังเพียง 3 นาที อินทรีเหล็ก ก็ได้เฮจากจังหวะที่ โยชัว คิมมิช งัดบอลข้ามแนวรับอย่างแม่นยำให้ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ โหม่งเสียบมุมอย่างเฉียบขาด ส่งเจ้าถิ่นนำ 1-0 ท่ามกลางเสียงเฮสนั่นทั้งสนาม

แต่โปรตุเกสไม่ยอมจำนนง่าย ๆ ในนาที 63 ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา ตัวสำรองสปีดสูงลากตัดเข้าในก่อนปั่นโค้งเสียบเสาสุดสวยตีเสมอเป็น 1-1 จากนั้นเพียง 5 นาที บรูโน่ แฟร์นันด์ส ดีดทะลุให้ นูโน่ เมนเดส หลุดทางซ้ายก่อนตบเข้ากลางให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดไม่พลาดระยะเผาขน เป็นประตูที่ปลุกพลังทีมเยือนให้แซงชนะ 2-1

เกมในช่วงท้ายเต็มไปด้วยความกดดันจากเยอรมนี แต่โปรตุเกสก็ยันอยู่ และคว้าชัยชนะสุดยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ พร้อมตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอย่างคู่ควร

การวิเคราะห์เชิงลึก จุดเปลี่ยนของเกมและฟอร์มของผู้เล่น

การเปลี่ยนตัวของโปรตุเกสในครึ่งหลัง โดยเฉพาะการส่ง ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา ลงมาในนาทีที่ 60 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม ความเร็วและความกล้าเล่นของเขาเปิดพื้นที่แนวรับของเยอรมนี พร้อมสร้างแรงปั่นป่วนทางฝั่งขวาอย่างต่อเนื่อง ประตูตีเสมอสุดสวยของเขาในนาทีที่ 63 ไม่เพียงปลุกความมั่นใจให้กับทีม แต่ยังเปลี่ยนโมเมนตัมของเกมทันที

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังคงโชว์ความเฉียบขาดในจังหวะสำคัญ แม้อายุจะล่วงเลยถึง 40 ปีแล้ว เขาแสดงให้เห็นถึงความฟิตและสัญชาตญาณดาวยิงระดับตำนานที่ยังไม่โรยรา

ฝั่งเยอรมนี การขาด จามาล มูเซียลา และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ทำให้เกมรุกขาดมิติ แม้ โยชัว คิมมิช กับ เลรอย ซาเน่ จะพยายามเร่งเกม แต่การประสานงานกลับดูตื้นเขิน และผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนลงมายังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง

สถิติการแข่งขัน เปรียบเทียบผลงานของทั้งสองทีม

  • การครองบอล: เยอรมนี 55% – 45% โปรตุเกส
  • การยิงทั้งหมด: เยอรมนี 9 ครั้ง – 17 ครั้ง โปรตุเกส
  • การยิงเข้ากรอบ: เยอรมนี 5 ครั้ง – 6 ครั้ง โปรตุเกส
  • การเซฟ: เยอรมนี 4 ครั้ง – 4 ครั้ง โปรตุเกส
  • ใบเหลือง: เยอรมนี 3 ใบ – 2 ใบ โปรตุเกส

แม้จะเป็นเจ้าบ้านและครองบอลได้มากกว่าที่ 55% แต่ เยอรมนี กลับใช้โอกาสที่มีได้ไม่คุ้มค่าเท่ากับ โปรตุเกส ที่แม้ครองบอลน้อยกว่า (45%) แต่มีความเฉียบคมและคุกคามแนวรับอินทรีเหล็กได้ตลอดเกม โดยเฉพาะในครึ่งหลัง โปรตุเกสยิงรวม 17 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่เยอรมนีมีโอกาสยิงเพียง 9 ครั้ง เข้ากรอบ 5 หน ทั้งสองทีมมีผู้รักษาประตูที่ต้องออกแรงเซฟถึง 4 ครั้งเท่ากัน แต่การตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายของโปรตุเกสมีประสิทธิภาพสูงกว่า ใบเหลืองรวมทั้งหมด 5 ใบ สะท้อนถึงความเข้มข้นของเกมนี้อย่างแท้จริง

ผลกระทบและความหมาย โปรตุเกสกับโอกาสคว้าแชมป์สมัยที่สอง

ชัยชนะของโปรตุเกสในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของขุมกำลังทั้งในรุ่นเก๋าและนักเตะสายเลือดใหม่ ทีมของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ แสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างประสบการณ์ของซูเปอร์สตาร์อย่างโรนัลโด้ และพลังของผู้เล่นรุ่นใหม่อย่างคอนไซเซา, นูโน่ เมนเดส และวิตินญา

หากโปรตุเกสสามารถคว้าแชมป์ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ได้สำเร็จ พวกเขาจะกลายเป็นชาติแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ถึง 2 สมัย ขณะที่เยอรมนีแม้จะมีพัฒนาการที่ชัดเจนแต่ยังต้องเพิ่มความเฉียบคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งพวกเขาหวังจะกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของโลกอีกครั้ง

สรุปเกมพลิกชะตา โปรตุเกสมีชัยเหนือเยอรมนี ลุ้นแชมป์เนชั่นส์ ลีก

ชัยชนะของ ทีมชาติโปรตุเกส เหนือ เยอรมนี ด้วยสกอร์ 2-1 ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2025 นับเป็นหนึ่งในเกมที่แสดงถึง “หัวใจนักสู้” ของพลพรรคฝอยทองอย่างแท้จริง แม้จะถูกยิงขึ้นนำต้นครึ่งหลังจากลูกโหม่งของฟลอเรียน เวียร์ตซ์ แต่การตอบสนองของทีมเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวส่งฟรานซิสโก้ คอนไซเซาลงมา ซึ่งทำประตูตีเสมอได้อย่างสวยงาม ก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะซัดประตูชัยในนาทีที่ 68 ด้วยความเยือกเย็นและสัญชาตญาณนักล่าประตูระดับตำนาน

ชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้โปรตุเกสทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของรายการ รอพบกับผู้ชนะระหว่าง สเปน หรือ ฝรั่งเศส ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ โดยหากสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พวกเขาจะกลายเป็นชาติแรกที่ครองถ้วยเนชั่นส์ ลีกสองสมัย สะท้อนถึงการวางรากฐานที่มั่นคง และพลังของทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก๋าที่ประสานกันอย่างกลมกลืน