
ในฤดูกาล 2023–2024 สโมสรฟุตบอล น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (Nottingham Forest Football Club) จบที่อันดับ 17 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยสถิติชนะ 9 นัด เสมอ 9 นัด และแพ้ 20 นัด รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลปัจจุบัน 2024–2025 ณ วันที่ 3 เมษายน 2025 ฟอเรสต์ลงแข่งขันไปแล้ว 30 นัด อยู่ในอันดับที่ 3 ของตาราง โดยชนะ 17 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้ 7 นัด เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด การเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งนี้เกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ เช่น การแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ ระบบการเล่นที่มีประสิทธิภาพ และนักเตะที่เป็นกำลังสำคัญของทีม
Nottingham Forest
ฤดูกาลที่แล้ว น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เป็นเพียงทีมที่ดิ้นรนหนีการตกชั้นอย่างเต็มที่ พวกเขาจบฤดูกาล 2023/24 ด้วยอันดับ 17 ของตารางพรีเมียร์ลีก มีเพียง 38 คะแนนจาก 38 นัด และรอดพ้นจากการตกชั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ชัยชนะเพียง 9 นัด กับความพ่ายแพ้ถึง 20 ครั้ง ทำให้หลายคนมองว่าสโมสรแห่งถิ่นซิตี้ กราวน์แห่งนี้ อาจต้องกลายเป็นทีมลุ้นหนีตายอีกครั้งในฤดูกาลถัดไป
แต่ในปี 2024/25 ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมฟอร์มการเล่นที่เหนือความคาดหมาย จนแฟนบอลทั่วเกาะอังกฤษต้องหันมามองด้วยความทึ่ง และถามตัวเองว่า “นี่คือทีมเดียวกับเมื่อปีก่อนจริงหรือ”
30 นัดผ่านไปในพรีเมียร์ลีก พวกเขาเก็บชัยชนะไปแล้วถึง 17 นัด เสมอ 6 และแพ้เพียง 7 นัด มีคะแนนอยู่ใน “ท็อปโฟร์” อย่างมั่นคง และที่น่าทึ่งที่สุด พวกเขาทำผลงานได้เหนือกว่าบรรดายักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือแม้แต่ สเปอร์ส ที่มักยึดพื้นที่ยุโรปอย่างเหนียวแน่น
เบื้องหลังปรากฏการณ์ “พลิกจากหนีตกชั้นสู่ลุ้นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก” ครั้งนี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ทั้งการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม การเสริมทัพที่เฉียบคม ระบบการเล่นที่มีวินัย และนักเตะที่พัฒนาศักยภาพจนกลายเป็นหัวใจสำคัญของทีม
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกวิเคราะห์เส้นทางของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ฤดูกาล 2024/25 อย่างละเอียด ว่าทีมนี้กลับมาได้อย่างไร ใครคือผู้เปลี่ยนเกมของสโมสร และพวกเขามีโอกาสแค่ไหนในการจบฤดูกาลด้วยการคว้าตั๋วลุยเวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่ยุครุ่งเรืองในช่วงปลายทศวรรษ 1970
เส้นทางของ “ฟอเรสต์” กำลังถูกเขียนใหม่อีกครั้ง และพวกเขากำลังจะกลายเป็นนิยามของคำว่า “คืนชีพ” บนเวทีพรีเมียร์ลีก
การเปลี่ยนแปลงของผู้จัดการทีม จุดเปลี่ยนที่แท้จริง
หนึ่งในการตัดสินใจที่กล้าหาญที่สุดของบอร์ดบริหารน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในฤดูกาล 2023/24 คือการปลด สตีฟ คูเปอร์ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังผลงานตกต่ำต่อเนื่องและทีมร่วงลงไปใกล้โซนตกชั้น แม้เขาจะเป็นคนพาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ในปี 2022 และได้รับการยกย่องในฐานะ “ฮีโร่ของเดอะ การ์ริบัลดี” แต่ฟุตบอลระดับสูงไม่เคยปรานีใคร เมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถเสี่ยงได้อีกต่อไป ฟอเรสต์จึงเลือกเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการแต่งตั้ง นูโน่ เอสปิริโต ซานโต (Nuno Espírito Santo) เข้ามาแทนที่ในวันที่ 20 ธันวาคม 2023 – และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ “กลับชาติมาเกิด” ทางฟุตบอลอย่างแท้จริง
นูโน่ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฟุตบอลอังกฤษ เขาเคยฝากผลงานยอดเยี่ยมไว้กับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส โดยพาทีมเลื่อนชั้นและจบอันดับท็อป 7 ได้ถึงสองฤดูกาลติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก และยังมีช่วงเวลาสั้น ๆ กับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวทางการทำทีมที่ชัดเจน เมื่อย้ายมาคุมฟอเรสต์ เขานำเอาระบบที่เขาคุ้นเคยอย่าง 3-4-3 และ 4-2-3-1 มาใช้ผสมผสานอย่างยืดหยุ่น พร้อมจัดระเบียบเกมรับให้แน่นหนา ลดความผิดพลาด และเปลี่ยนเกมรุกให้คมขึ้นแบบเห็นผลในทันที
ผลลัพธ์นั้นชัดเจน หลังการมาของนูโน่ ฟอเรสต์เริ่มเก็บชัยชนะต่อเนื่อง และขยับอันดับขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ จนหลายทีมต้องเริ่มจับตาอย่างจริงจัง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงการปรับระบบ แต่ยังรวมถึงการสร้างวินัย การสื่อสารในทีม และการปลุกความเชื่อมั่นกลับมาในหมู่นักเตะ จากทีมที่ไร้ทิศทาง กลายเป็นทีมที่ “ทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง” และนั่นคือคุณสมบัติของทีมที่จะประสบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก

ระบบการเล่น & แท็กติก เมื่อฟอเรสต์กลายเป็นทีมที่มีตัวตนชัดเจน
หนึ่งในจุดเด่นของ นูโน่ เอสปิริโต ซานโต คือความสามารถในการ “ปรับตัวให้เข้ากับทรัพยากร” ที่มีอยู่ มากกว่าจะพยายามยัดระบบลงไปในทีมโดยไม่ดูศักยภาพของนักเตะ ซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนโฉมน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในฤดูกาลนี้ เขาเลือกใช้ แผนการเล่นที่ยืดหยุ่น สลับระหว่าง 4-2-3-1 กับ 3-4-3 ตามลักษณะคู่แข่งและความพร้อมของผู้เล่นในแต่ละเกม โดยจุดศูนย์กลางของระบบคือความสมดุลระหว่าง “เกมรับที่เหนียวแน่น” กับ “เกมรุกที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ในพริบตา” ฟอเรสต์กลายเป็นทีมที่ขึ้นเกมได้อย่างมีระเบียบ ไม่เร่งรีบ แต่ทรงพลัง และเมื่อมีโอกาสสวนกลับ พวกเขาใช้สปีดของแนวรุกโจมตีได้อย่างเฉียบขาด
ในแดนกลาง การใช้มิดฟิลด์คู่กลางที่เน้นการปะทะอย่างมีชั้นเชิง เช่น โอเรล ม็องกาล่า หรือ ไรอัน เยตส์ สร้างสมดุลระหว่างการตัดเกมและพาบอลไปข้างหน้า ขณะที่มิดฟิลด์ตัวรุกอย่าง มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ ได้อิสระในการสร้างสรรค์เกม ทำให้ทีมมีความหลากหลายในการเข้าทำ
เกมริมเส้น กลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวของฟอเรสต์ โดยเฉพาะฝั่งที่มี แอนโทนี่ อีลังก้า ซึ่งใช้ความเร็วเล่นงานแนวรับฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ บวกกับ การเติมเกมของฟูลแบ็ก ที่เลือกจังหวะได้อย่างแม่นยำ ทำให้ฟอเรสต์สามารถสร้างโอกาสได้จากหลายทิศทาง
ในขณะที่ เกมรับ ได้รับการปรับปรุงใหม่หมด ด้วยการจัดโซนรับที่เป็นระบบมากขึ้น เซ็นเตอร์แบ็กอย่าง มูริโญ่ กลายเป็นเสาหลักในแนวรับ ทั้งความแข็งแกร่ง, ความเร็ว และการอ่านเกมล่วงหน้า ทำให้แนวรับของทีมลดความผิดพลาดลงอย่างชัดเจน
แท็กติกทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฟอเรสต์ในยุคนูโน่ ไม่ใช่ทีมที่เน้นวิ่งสู้ฟัดไร้แบบแผนอีกต่อไป แต่คือทีมที่มีแนวคิด มีจังหวะของตัวเอง และพร้อมแข่งขันในระดับสูงได้อย่างเต็มตัว จากทีมที่เคยถูกมองว่า “โชคดีที่ไม่ตกชั้น” กลายเป็นทีมที่ “ทุกแมตช์มีแผน และทุกชัยชนะมีระบบรองรับ”
นักเตะคีย์แมนประจำฤดูกาล 2024-25 หัวใจสำคัญของทีม
- คริส วู้ด (Chris Wood) กองหน้าตัวเป้าในฝัน ไม่ใช่ชื่อที่ถูกคาดหวังจะเป็นดาวซัลโว แต่ คริส วู้ด กองหน้าวัย 33 ปีจากนิวซีแลนด์ กลับกลายเป็นอาวุธลับที่ทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอ เขาอาจไม่ได้ยิงสวยทุกลูก แต่มี “ความเฉียบขาด” ในจังหวะสำคัญ ทั้งลูกโหม่ง ลูกจบเร็ว และความเข้าใจเกมแบบเบื้องหลังที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยแค่สถิติ เขายิงประตูได้มากกว่ากองหน้าหลายคนจากบิ๊กทีม และทำประตูสำคัญหลายลูกในเกมใหญ่ ฟอร์มแบบนี้ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้แบบเงียบ ๆ
- แอนโทนี่ อีลังก้า (Anthony Elanga) เครื่องจักรทางฝั่งซ้าย อีลังก้า อดีตปีกความเร็วสูงจากแมนฯ ยูไนเต็ด พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนภายใต้การคุมทีมของนูโน่ เขาไม่ได้มีดีแค่ความเร็ว แต่รู้จักเลือกจังหวะทะลุทะลวง รู้ว่าควรครองบอลหรือเปิดให้เพื่อน เขาคือคนที่พลิกเกมให้ฟอเรสต์บุกแบบรวดเร็วและเด็ดขาด โดยเฉพาะเกมสวนกลับที่เขาเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ภายในไม่กี่วินาที
- มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ (Morgan Gibbs-White) จอมสร้างสรรค์เกม กิ๊บส์-ไวท์ คือคนที่ “เล่นบอลแบบมีจินตนาการ” เขามักจะหาพื้นที่ในเกมรุกได้ดีมาก ทั้งการแทงทะลุช่อง การยิงไกล หรือการกดดันคู่แข่งในแดนบน เขาคือฟันเฟืองที่เชื่อมโยงแดนกลางกับแดนหน้าอย่างลื่นไหล และยังมีส่วนสำคัญในลูกนิ่งหลายจังหวะ
- มูริโญ่ (Murillo) ปราการเหล็กจากบราซิล นี่คือผู้เล่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในหมู่สื่อฟุตบอลอังกฤษ และตกเป็นข่าวกับสโมสรยักษ์ใหญ่ไม่เว้นวัน มูริโญ่เป็นเซ็นเตอร์แบ็กวัย 21 ปี ที่เล่นได้อย่างนิ่งเกินวัย อ่านเกมเก่ง เข้าปะทะดี เล่นบอลกับพื้นก็เยี่ยม เขาไม่เพียงแต่ตัดเกมได้บ่อยครั้ง แต่ยังเป็นจุดเริ่มเกมรุกจากแดนหลังอีกด้วย สำหรับค่าตัวที่อาจทะลุ 70 ล้านปอนด์ในอนาคต ทำให้แฟนบอลฟอเรสต์หวังว่าทีมจะสามารถเก็บเขาไว้ได้นานที่สุด
นักเตะทั้ง 4 คนนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้เล่นธรรมดา แต่คือ “หัวใจของทีม” ที่ทำให้ฟอเรสต์เป็นทีมที่ไม่มีใครมองข้ามได้อีกต่อไป

การวิเคราะห์และคาดการณ์
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในปัจจุบัน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มีโอกาสสูงที่จะจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 หรือ 4 ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลหน้า อย่างไรก็ตาม การรักษาฟอร์มการเล่นในนัดที่เหลือจะเป็นความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในพรีเมียร์ลีก
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของฟอเรสต์ ได้แก่ การจัดการอาการบาดเจ็บของนักเตะหลัก การรักษาความสม่ำเสมอในการเล่น และการบริหารจัดการทีมของนูโน่ หากทีมสามารถรักษาฟอร์มการเล่นและจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจบฤดูกาลในอันดับท็อปโฟร์และการเข้าร่วมแข่งขันในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ต้องบอกว่า “โอกาสลุยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก” ของฟอเรสต์ไม่ได้เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป แต่เป็น “ความจริงที่อยู่แค่เอื้อม” และถ้าพวกเขาทำได้จริง มันจะกลายเป็นหนึ่งใน “เทพนิยายลูกหนัง” ที่งดงามที่สุดของพรีเมียร์ลีกยุคใหม่เลยทีเดียว
ฟอเรสต์กับเส้นทางแห่งศรัทธา ความกล้า และความเป็นไปได้
เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อต้นฤดูกาลที่ผ่านมา คงไม่มีใครคาดคิดว่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเคยเป็นแค่ “ทีมที่ดีพอจะอยู่รอด” จะกลายเป็น “ทีมที่ดีพอจะไปแชมเปียนส์ลีก” ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เริ่มต้นจากการแต่งตั้ง นูโน่ เอสปิริโต ซานโต ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจใหม่ของทีม ที่เข้ามาปลุกจิตวิญญาณนักสู้และความเป็นมืออาชีพให้กลับมาอีกครั้ง
การวางแท็กติกที่ยืดหยุ่นและแน่นอน, การเลือกใช้นักเตะได้ตรงจุด, การพัฒนาศักยภาพของดาวรุ่งและแข้งโนเนม จนกลายเป็นกำลังหลักในทีม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของการ “ทำงานหนักอย่างชาญฉลาด” ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น คริส วู้ด ที่จบสกอร์ได้เฉียบ, อีลังก้าที่ปั่นป่วนแนวรับคู่แข่ง, กิ๊บส์-ไวท์ที่สร้างสรรค์เกม, หรือ มูริโญ่ที่กลายเป็นหินผาของแนวรับ ทุกคนต่างเติมเต็มกันและกันเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่เข้ากันได้อย่างพอดี
แม้โปรแกรม 8 นัดสุดท้ายจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ฟอเรสต์ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขา “ไม่กลัวใคร” และพร้อมชนทุกทีม หากสามารถรักษาความสม่ำเสมอ, จัดการกับแรงกดดัน และยืนหยัดในจังหวะยากได้เหมือนที่ผ่านมา พวกเขามีทุกสิทธิ์จะกลายเป็นทีมอังกฤษหน้าใหม่ในเวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
เพราะฟุตบอลไม่ได้ให้รางวัลกับคนที่ “ยิ่งใหญ่กว่า” แต่มักมอบโอกาสให้กับคนที่ “กล้ามากพอจะเชื่อมั่นในตัวเอง” เสมอ ฤดูกาลนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ฟอเรสต์จะกลับมาเป็น “ทีมใหญ่” อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ในความจริงของทุกแมตช์ที่กำลังจะมาถึง