
มิเชล พลาตินี หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล กับความสามารถอันยอดเยี่ยมในการทำประตูและสร้างสรรค์เกม เขาเป็นผู้คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 3 สมัยติดต่อกัน และเป็นผู้นำฝรั่งเศสคว้าแชมป์ยูโร 1984 ติดตามเรื่องราวของเขา ตั้งแต่วันแรกที่เป็นนักเตะ จนถึงบทบาทในวงการฟุตบอลปัจจุบัน
มิเชล พลาตินี กองกลางผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกต้องจารึก
มิเชล พลาตินี (Michel Platini) เป็นชื่อที่ได้รับการจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลในฐานะหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1955 ในเมือง โจฟ (Jœuf) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่ในแคว้นลอแรน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอุตสาหกรรมเหมืองแร่และโลหะวิทยา อย่างไรก็ตาม สำหรับตระกูลพลาตินี ฟุตบอลคือสิ่งที่อยู่ในสายเลือด พ่อของเขา อัลโด พลาตินี (Aldo Platini) เป็นอดีตนักฟุตบอลและเคยทำงานเป็นผู้จัดการทีมในระดับท้องถิ่น ขณะที่แม่ของเขา แอนนา พลาตินี (Anna Platini) ก็เป็นผู้ที่สนับสนุนเส้นทางการเป็นนักเตะของลูกชายอย่างเต็มที่ ด้วยบรรยากาศของครอบครัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฟุตบอล มิเชลจึงเริ่มหลงใหลในกีฬานี้ตั้งแต่อายุยังน้อย พลาตินี เติบโตขึ้นมาในยุคที่ฟุตบอลฝรั่งเศสยังไม่แข็งแกร่งเท่าปัจจุบัน โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950-60 ทีมชาติฝรั่งเศสยังไม่ได้เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของยุโรป และการแข่งขันภายในประเทศก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก เรย์มงด์ โกปา (Raymond Kopa) เพลย์เมกเกอร์ชาวฝรั่งเศสที่เคยคว้าบัลลงดอร์ในปี 1958 และเป็นหนึ่งในตำนานของเรอัล มาดริด
แม้จะมีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็ก แต่มิเชล พลาตินีก็เคยประสบปัญหาด้านสุขภาพในช่วงวัยเยาว์ เขามีอาการหอบหืดและมักจะเหนื่อยง่าย ซึ่งทำให้บางคนเชื่อว่าเขาอาจจะไม่สามารถเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนจากครอบครัว เขาฝึกฝนตัวเองอย่างหนักและสามารถเอาชนะปัญหาสุขภาพเหล่านั้นได้ ช่วงวัยเด็กของพลาตินีเต็มไปด้วยการเล่นฟุตบอลข้างถนนและการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด เมื่ออายุ 11 ปี เขาเข้าร่วมทีมเยาวชนของ AS Jœuf ซึ่งเป็นทีมเล็ก ๆ ในบ้านเกิด ที่นี่เองที่เขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการเล่นฟุตบอลที่เหนือกว่านักเตะรุ่นเดียวกัน โดยเฉพาะทักษะการควบคุมบอล, การส่งบอลที่แม่นยำ และความสามารถในการอ่านเกมที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่ออายุ 16 ปี พลาตินีได้เข้าร่วม AS Nancy-Lorraine ซึ่งเป็นสโมสรระดับอาชีพเป็นครั้งแรก และนี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่การเป็นตำนานของเขา
การแจ้งเกิดในลีกฝรั่งเศส
มิเชล พลาตินี เริ่มต้นเส้นทางอาชีพค้าแข้งกับ น็องซี่ (AS Nancy-Lorraine) สโมสรที่ตั้งอยู่ในแคว้นลอแรน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส แม้ว่าน็องซี่จะไม่ได้เป็นทีมระดับยักษ์ใหญ่ของประเทศ แต่ที่นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกฟุตบอลได้รู้จักพรสวรรค์ของพลาตินี เขาลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1972 ขณะอายุเพียง 17 ปี และสามารถสร้างความแตกต่างได้ทันที ด้วยสไตล์การเล่นที่ฉลาด ทักษะการจ่ายบอลที่แม่นยำ และการทำประตูจากระยะไกล เขากลายเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ทีมต้องพึ่งพา โดยเฉพาะ ลูกฟรีคิกอันเฉียบคม ที่เริ่มเป็นเอกลักษณ์ของเขา ฤดูกาลที่โดดเด่นที่สุดของเขากับน็องซี่คือ 1977-78 ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ เฟรนช์ คัพ (Coupe de France) โดยในรอบชิงชนะเลิศกับนีซ พลาตินีเป็นผู้ทำประตูชัยช่วยให้น็องซี่ชนะไป 1-0 นี่ถือเป็นแชมป์แรกของเขาในฐานะนักเตะอาชีพ และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมสำหรับการก้าวขึ้นไปเล่นในระดับที่สูงกว่า
ย้ายสู่แซงต์-เอเตียน และก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์
หลังจากสร้างชื่อเสียงกับ น็องซี่ มิเชล พลาตินี ก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นเมื่อเขาย้ายไป แซงต์-เอเตียน (AS Saint-Étienne) ในปี 1979 ซึ่งเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษที่ 1970 ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์ แอร์แบง (Robert Herbin) พลาตินีรับบทบาทเป็นกองกลางตัวรุกที่มีอิสระในการสร้างสรรค์เกม ฟอร์มการเล่นของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เขาไม่เพียงแต่เป็นจอมทัพของทีม แต่ยังเป็นผู้ทำประตูสำคัญให้กับแซงต์-เอเตียน ในฤดูกาล 1980-81 เขามีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ ลีกเอิง ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ด้วยการเล่นที่ครบเครื่องและสไตล์การยิงประตูที่หลากหลาย ทำให้เขาได้รับการจับตามองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะจากลีกอิตาลีและสเปน ซึ่งกำลังต้องการผู้เล่นที่มีความสามารถในระดับสูงมาร่วมทีม
ยุคทองกับยูเวนตุส สุดยอดกองกลางแห่งกัลโช่ เซเรียอา
ในปี 1982 ยูเวนตุส สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี คว้าตัวพลาตินีไปร่วมทีม และนี่คือช่วงเวลาที่เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก
- คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา 2 สมัย (1983–84, 1985–86)
- คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย (1982–83)
- คว้าแชมป์ ยูโรเปียน คัพ (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปัจจุบัน) ปี 1985
- คว้าแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ ปี 1985
บัลลงดอร์ 3 สมัยติดต่อกัน จากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยม พลาตินีได้รับรางวัล บัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ถึง 3 สมัยซ้อน (1983, 1984, 1985) ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือสุดยอดนักเตะในยุคนั้น

ยอดกัปตันของทีมชาติฝรั่งเศส
พลาตินีไม่เพียงสร้างชื่อในระดับสโมสร แต่ยังเป็นกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
ยูโร 1984: ฝรั่งเศสผงาดคว้าแชมป์ครั้งแรก
- พลาตินีทำ 9 ประตูใน 5 นัด เป็นดาวซัลโวของรายการ
- เขานำทีมเอาชนะสเปนในรอบชิงชนะเลิศ 2-0 คว้าแชมป์ยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 1982 และ 1986
- ในฟุตบอลโลก 1982 ฝรั่งเศสไปถึงรอบรองชนะเลิศ แต่พ่ายเยอรมนีในการดวลจุดโทษ
- ในฟุตบอลโลก 1986 พลาตินีนำทีมไปถึงรอบรองชนะเลิศอีกครั้ง แต่แพ้อาร์เจนตินาของดีเอโก้ มาราโดนา
การอำลาสนามและก้าวเข้าสู่วงการบริหารฟุตบอล
หลังจากแขวนสตั๊ดในปี 1987 พลาตินีเริ่มเข้าสู่บทบาทผู้บริหาร
- ปี 1988: เขารับตำแหน่งโค้ชทีมชาติฝรั่งเศส
- ปี 1992: พลาตินีเป็นรองประธานคณะกรรมการจัดฟุตบอลโลก 1998
- ปี 2007-2015: ดำรงตำแหน่ง ประธานยูฟ่า (UEFA President)
มรสุมชีวิตและปัญหาด้านการบริหาร
แม้ว่ามิเชล พลาตินีจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง แต่ช่วงปลายอาชีพของเขาในวงการบริหารกลับต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ ในปี 2015 เขาถูก FIFA (สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ) สอบสวนเกี่ยวกับการรับเงินจำนวน 2 ล้านฟรังก์สวิส จาก เซปป์ แบลตเตอร์ อดีตประธาน FIFA ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการจ่ายเงินที่ไม่โปร่งใส กรณีดังกล่าวส่งผลให้พลาตินีถูก แบนจากวงการฟุตบอลเป็นเวลา 8 ปี (ภายหลังลดโทษเหลือ 4 ปี) และต้องลาออกจากตำแหน่ง ประธานยูฟ่า (UEFA) ที่เขาดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2007 การตัดสินดังกล่าวทำให้เขาหมดโอกาสลงสมัครชิงตำแหน่งประธาน FIFA ในปี 2016 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ แม้ว่าในปี 2022 ศาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะตัดสินให้เขาพ้นข้อกล่าวหา แต่กรณีอื้อฉาวนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้บริหารฟุตบอลต้องมัวหมอง และเขาตัดสินใจวางมือจากวงการฟุตบอลไปอย่างถาวร
มรดกที่พลาตินีฝากไว้ในวงการฟุตบอล
แม้ว่ามิเชล พลาตินีจะเผชิญกับปัญหาในช่วงท้ายของอาชีพบริหาร แต่ผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาในฐานะนักเตะยังคงเป็นที่จดจำในวงการฟุตบอล เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน กองกลางที่ครบเครื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์เกม, การจ่ายบอลที่แม่นยำ และการทำประตูจากลูกตั้งเตะ พลาตินีเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นหลัง โดยเฉพาะ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์ระดับตำนานของฝรั่งเศสที่เติบโตขึ้นมาโดยมีเขาเป็นไอดอล นอกจากนี้ แนวทางการเล่นของพลาตินียังส่งอิทธิพลต่อกองกลางตัวรุกยุคใหม่ เช่น อันเดรีย ปีร์โล่, ลูก้า โมดริช และ เควิน เดอ บรอยน์ แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ ชื่อของ มิเชล พลาตินี ยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในไอคอนของวงการฟุตบอลระดับโลก
มิเชล พลาตินี กับความเป็นตำนานที่ไม่มีวันจางหาย
มิเชล พลาตินี เป็นชื่อที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ฟุตบอล แม้ว่าเส้นทางของเขาในฐานะผู้บริหารจะจบลงด้วยปัญหาทางกฎหมาย แต่สิ่งที่เขาฝากไว้ในสนามยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนบอลและนักเตะรุ่นหลัง ในระดับสโมสร ยูเวนตุส, แซงต์-เอเตียน และน็องซี่ ต่างได้รับประโยชน์จากพรสวรรค์ของเขา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ ยูเวนตุส ที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปและกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลก ส่วนในระดับทีมชาติ เขาเป็นกัปตันที่นำฝรั่งเศสคว้าแชมป์ ยูโร 1984 และพาทีมเข้าใกล้แชมป์โลกในปี 1982 และ 1986
ความสำเร็จส่วนตัวของเขาก็ไร้ที่ติ ด้วยการคว้ารางวัล บัลลงดอร์ 3 สมัยติดต่อกัน (1983, 1984, 1985) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขาในยุคนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารฟุตบอลอีกต่อไป แต่ชื่อของ “มิเชล พลาตินี” จะยังคงถูกจารึกไว้ในฐานะหนึ่งใน กองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาล และตำนานที่ไม่มีวันลืม