092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

ทีมปีศาจแดง แห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มดุ บุกเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 คารัง ซาน มาเมส แบบสะใจแฟนๆทั่วโลก ในรอบรองชนะเลิศ ยูโรปาลีก นัดแรก วิเคราะห์ปัจจัยแห่งชัยชนะ พร้อมพรีวิวเกมนัดที่สองที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

ปีศาจแดงบุกถล่มบิลเบา 3-0

ในค่ำคืนวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 ที่สนาม ซาน มาเมส รังเหย้าของแอธเลติก บิลเบา แฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 50,000 ชีวิตต้องเผชิญค่ำคืนที่ยากจะลืม เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อาโมริม บุกมาโชว์ฟอร์มดุดัน กดทีมเจ้าบ้านแบบไร้ความปรานี 3-0 ในศึกยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เกมนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของ “ปีศาจแดง” หลังจากเส้นทางในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไม่ราบรื่นนัก แต่ยูโรปาลีกยังคงเป็นความหวังเดียวของสโมสรในการลุ้นแชมป์ และการไปเยือนทีมแกร่งจากแคว้นบาสก์อย่างบิลเบาย่อมไม่ใช่งานง่าย ทว่าผลงานในเกมนี้กลับเกินความคาดหมาย

ยูไนเต็ดเริ่มต้นเกมด้วยการตั้งรับอย่างมีระเบียบ รอโอกาสสวนกลับตามแผนที่วางไว้ และสามารถเปลี่ยนจังหวะสำคัญเป็นประตูได้ในนาทีที่ 30 จากลูกโหม่งของ คาเซมิโร่ ที่ขึ้นแซงแนวรับเจ้าถิ่นได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะมายิงจุดโทษในนาทีที่ 36 หลังจาก ราสมุส ฮอยลุนด์ โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ โดยจังหวะดังกล่าวยังส่งผลให้ ดาเนียล วิเวียน กองหลังบิลเบาโดนใบแดง ไล่ออกจากสนามด้วย ทำให้เกมเสียสมดุล ก่อนหมดครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที ยูไนเต็ดก็มาได้ประตูที่สาม จากจังหวะทำชิ่งสุดสวยระหว่าง อเลฮานโดร การ์นาโช่ และ แฟร์นันด์ส ก่อนที่กัปตันทีมชาวโปรตุเกสจะกดเรียดเข้าไปไม่พลาด

ชัยชนะนัดนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มความมั่นใจให้กับทีม แต่ยังทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกุมความได้เปรียบมหาศาล ก่อนลงเล่นนัดที่สองในบ้านตัวเองที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ 8 พฤษภาคม โดยมีเป้าหมายเดียวคือ “ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโรปาลีก” และลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้อีกครั้ง หลังเคยทำได้ครั้งสุดท้ายในปี 2017

วิเคราะห์ปัจจัยแห่งชัยชนะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

  1. ความเฉียบคมในการจบสกอร์ แม้ว่า แอธเลติก บิลเบา จะเริ่มเกมได้อย่างแข็งแกร่งและมีโอกาสทำประตูหลายครั้งในช่วงต้นเกม แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมในการจบสกอร์ โดยเฉพาะในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกที่สามารถยิงได้ถึง 3 ประตู
  2. การจัดการเกมของ รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีม รูเบน อาโมริม วางแผนการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยใช้ระบบ 3-4-2-1 ที่เน้นการครองบอลและการโจมตีที่รวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงแท็กติกในช่วงเวลาสำคัญทำให้ทีมสามารถควบคุมเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ผลกระทบจากใบแดงของ ดาเนียล วิเวียน ในนาทีที่ 35 ดาเนียล วิเวียน กองหลังของ แอธเลติก บิลเบา ถูกไล่ออกจากสนามหลังจากทำฟาวล์ใส่ ราสมุส ฮอยลุนด์ ในเขตโทษ ส่งผลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิงจุดโทษเข้าไปเป็นประตูที่สองของยูไนเต็ด การเหลือผู้เล่นน้อยกว่าทำให้เจ้าถิ่นเสียเปรียบอย่างมาก
  4. ฟอร์มยอดเยี่ยมของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กัปตันทีม บรูโน่ แฟร์นันด์ส โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในเกมนี้ โดยทำสองประตูและมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีผลงานดีที่สุดในนัดนี้

ความได้เปรียบก่อนนัดที่สองที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

ชัยชนะ 3-0 ในเกมเยือนนับว่าเป็นผลการแข่งขันที่เกือบสมบูรณ์แบบในรอบน็อกเอาต์ โดยเฉพาะกับการบุกไปเก็บคลีนชีตจากสนามที่ขึ้นชื่อเรื่องความกดดันอย่างซาน มาเมส ถือเป็นผลงานที่น่าประทับใจของลูกทีมรูเบน อาโมริม และเพิ่มความมั่นใจให้กับนักเตะอย่างมาก ก่อนกลับไปเล่นนัดที่สองใน “โรงละครแห่งความฝัน” ซึ่งเป็นสนามที่ยูไนเต็ดมักทำผลงานได้ดีเสมอ สถิติยังระบุชัดว่า ทีมใดที่ชนะเกมเยือนเลกแรกด้วยผลต่าง 3 ประตูขึ้นไป มีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบต่อไปถึง 100% ในประวัติศาสตร์ยูฟ่า ยูโรปาลีก สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความได้เปรียบของปีศาจแดง แต่ยังสะท้อนว่า พวกเขาอยู่ห่างจากรอบชิงเพียง 90 นาทีเท่านั้น หากไม่ประมาทและเล่นอย่างมีวินัย โอกาสกลับไปชิงถ้วยยุโรปอีกครั้งก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับโอกาสคว้าแชมป์ยูโรปาลีก

แม้ว่าในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีผลงานในพรีเมียร์ลีกที่ไม่สม่ำเสมอ แต่ผลงานในยูโรปาลีกกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง ทีมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความลงตัวในแท็กติก และความพร้อมในจังหวะสำคัญ โดยเฉพาะเกมกับแอธเลติก บิลเบา ที่พวกเขาแสดงให้เห็นถึง “DNA ของทีมใหญ่” ทั้งในด้านวินัยเกมรับ ความเด็ดขาดในแดนหน้า และการควบคุมอารมณ์ในเกมที่ตึงเครียด หากยังคงรักษาความแข็งแกร่งนี้ได้ต่อเนื่อง ทั้งในเลกสอง และรอบชิงชนะเลิศ (หากผ่านเข้ารอบ) ปีศาจแดงก็มีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์ยุโรปรายการนี้เป็นสมัยที่สองในรอบไม่ถึง 10 ปี และอาจเป็นการคืนความเชื่อมั่นให้แฟนบอลทั่วโลกอีกครั้ง

การคว้าแชมป์ยูโรปาลีกในครั้งนี้ไม่เพียงหมายถึงเกียรติยศในระดับทวีปเท่านั้น แต่ยังเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับการกลับไปสู่เวทียูฟ่า แชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า ซึ่งมีผลต่ออนาคตของสโมสรทั้งด้านการเงิน การเสริมทัพ และความน่าสนใจของทีมในสายตานักเตะระดับโลก นอกจากนี้ ยังอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่มั่นคงให้กับยุคของ รูเบน อาโมริม ในการฟื้นคืนศักดิ์ศรีของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” สู่ความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปอีกครั้ง