092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยเส้นทางอันน่าทึ่งของเจมี วาร์ดี จากนักเตะโนเนมสู่ตำนานของเลสเตอร์ ซิตี้ พร้อมสถิติและผลงานที่น่าประทับใจตลอด 13 ปีในถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดียม

จากนักเตะโนเนมสู่ตำนานแห่งเลสเตอร์ ซิตี้

เจมี วาร์ดี (Jamie Vardy) เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ วาร์ดีเติบโตในครอบครัวชนชั้นแรงงาน พ่อเป็นช่างเหล็ก แม่ทำงานในภาคบริการ เขาไม่ได้มีเส้นทางที่ชัดเจนในการก้าวสู่การเป็นนักเตะอาชีพเหมือนกับดาวรุ่งชื่อดังหลายคน แต่สิ่งที่เขามีคือ “หัวใจนักสู้” วาร์ดีเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังในระดับเยาวชนกับเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ซึ่งเป็นสโมสรในบ้านเกิด ทว่าเมื่ออายุเพียง 16 ปี เขากลับถูกปล่อยตัวออกจากอะคาเดมีด้วยเหตุผลที่เจ็บปวด—เขาถูกมองว่า “ตัวเล็กเกินไป” และ “ขาดความแข็งแกร่ง” ที่จะพัฒนาไปเป็นนักเตะอาชีพ เรื่องนี้เกือบทำให้เขาหันหลังให้กับฟุตบอลโดยสิ้นเชิง แต่แทนที่จะยอมแพ้ วาร์ดีหันไปเล่นให้กับ Stocksbridge Park Steels สโมสรเล็ก ๆ ที่แข่งขันในระดับ Northern Premier League Division One (เทียบเท่าระดับดิวิชัน 7 ของอังกฤษ) ชีวิตของเขาในช่วงนี้ต้องทำงานในโรงงานผลิตอวัยวะเทียมในช่วงกลางวัน และฝึกซ้อมหรือแข่งขันในช่วงเย็น โดยได้รับค่าเหนื่อยเพียง 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ที่ Stocksbridge วาร์ดีเริ่มแสดงศักยภาพ เขาโดดเด่นด้วยความเร็วจัด สัญชาตญาณการทำประตู และความดุดันในการไล่บอล จนได้รับความสนใจจากสโมสรที่สูงขึ้นอย่าง Halifax Town ในปี 2010 โดยในฤดูกาลแรกกับ Halifax เขายิงไปถึง 26 ประตูจาก 37 นัด พาทีมคว้าแชมป์ Northern Premier League Premier Division พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรในทันที ความร้อนแรงของเขาทำให้ Fleetwood Town ทีมในระดับ Conference Premier (ดิวิชัน 5) ไม่รอช้า รีบดึงตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2011 และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ วาร์ดียิงกระหน่ำไปถึง 31 ประตูจาก 36 นัดในลีก ฤดูกาลเดียว จนพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ Football League ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และตัวเขาเองก็ถูกจับตามองว่าเป็น “เพชรแท้จากลีกสมัครเล่น”

และแล้วในปี 2012 เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรจากแชมเปียนชิพก็ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ ด้วยการทุ่มเงิน 1 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัวเขามาร่วมทีม เป็นสถิติใหม่ของนักเตะจากนอกลีกในเวลานั้น… เส้นทางของชายหนุ่มจากโรงงาน กำลังจะเริ่มต้นบทใหม่ในเวทีฟุตบอลอาชีพที่แท้จริง

การเข้าร่วมเลสเตอร์ ซิตี้และการสร้างประวัติศาสตร์

ในปี 2012 เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การบริหารของไนเจล เพียร์สัน ตัดสินใจสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าตัวเจมี วาร์ดีจาก Fleetwood Town ด้วยค่าตัวประมาณ 1 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขมหาศาลสำหรับนักเตะที่ยังไม่เคยสัมผัสฟุตบอลลีกอาชีพระดับสูง การลงทุนครั้งนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง และในฤดูกาลแรกกับ “จิ้งจอกสยาม” วาร์ดีก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันไม่น้อย เขายิงได้เพียง 4 ประตูจาก 26 นัดในลีก และเคยพิจารณาถึงการเลิกเล่นฟุตบอลด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นและการสนับสนุนจากทีมงาน ทำให้วาร์ดีฮึดสู้และพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เขาฝึกฝนเพิ่มเติมทั้งเรื่องการจบสกอร์ การเคลื่อนที่ และการอ่านเกม จนเริ่มแสดงศักยภาพที่แท้จริง และในฤดูกาล 2013/14 เขามีบทบาทสำคัญในการพาเลสเตอร์คว้าแชมป์แชมเปียนชิพ พร้อมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

จุดสูงสุดของเรื่องราวเทพนิยายนี้เกิดขึ้นในฤดูกาล 2015/16 เมื่อเลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำของเคลาดิโอ รานิเอรี่ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเหนือความคาดหมาย ด้วยอัตราต่อรองก่อนเปิดฤดูกาลที่ 5000-1 วาร์ดีกลายเป็นขวัญใจมหาชน ยิงได้ถึง 24 ประตูในลีก และทำสถิติยิงประตูติดต่อกัน 11 นัดติดต่อกัน ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำลายสถิติเดิมของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้วาร์ดีคว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักข่าวฟุตบอลอังกฤษ (FWA) และกลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ของเลสเตอร์ ซิตี้อย่างไม่มีข้อกังขา

สถิติและผลงานที่น่าประทับใจ

  • **จำนวนประตูรวม:** 200 ประตูจาก 500 นัดในทุกรายการกับเลสเตอร์ ซิตี้
  • **จำนวนประตูในพรีเมียร์ลีก:** 145 ประตูจาก 342 นัด
  • **รางวัลรองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก:** ฤดูกาล 2019/20
  • **รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก:** ฤดูกาล 2015/16
  • **สถิติยิงประตูติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก:** 11 นัดติดต่อกันในฤดูกาล 2015/16

การอำลาเลสเตอร์ ซิตี้

หลังจากรับใช้สโมสรอย่างซื่อสัตย์และเปี่ยมด้วยความภักดีมาตลอด 13 ปีเต็ม เจมี วาร์ดี ได้ประกาศอำลาเลสเตอร์ ซิตี้ในเดือนพฤษภาคม ปี 2025 การอำลาครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในวงการฟุตบอลอังกฤษ เกมสุดท้ายของวาร์ดีคือการพบกับ อิปสวิช ทาวน์ ในนัดปิดฤดูกาล ซึ่งเป็นนัดที่พิเศษไม่เพียงเพราะเป็นแมตช์สุดท้ายของเขาในเสื้อเลสเตอร์ แต่ยังเป็นเกมที่เขาทำประตู ลูกที่ 200 ให้กับสโมสร จากการลงเล่นนัดที่ 500 พอดี—ราวกับบทสรุปที่เขียนไว้แล้วอย่างสมบูรณ์แบบ

สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ แฟนบอลต่างลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความขอบคุณ นักเตะและสตาฟฟ์ร่วมทีมต่างสวมเสื้อพิเศษที่มีข้อความ “Thank You Vardy #9” พร้อมภาพไฮไลต์ช่วงเวลาสำคัญตลอดการค้าแข้งของเขา การอำลาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงจุดจบของนักเตะคนหนึ่งเท่านั้น แต่คือการปิดฉากตำนานที่ไม่มีวันถูกลืมของเลสเตอร์ ซิตี้

อนาคตหลังเลสเตอร์ ซิตี้

แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ 38 แล้ว แต่เจมี วาร์ดีก็ยังคงแสดงความกระตือรือร้นในการลงสนาม และยืนยันว่าเขายังไม่คิดจะแขวนสตั๊ดในเร็ว ๆ นี้ สภาพร่างกายที่ยังแข็งแรงและสไตล์การเล่นที่อาศัยความเร็วและสัญชาตญาณการจบสกอร์ ทำให้เขายังคงเป็นที่ต้องการของหลายสโมสร มีรายงานข่าวจากอังกฤษระบุว่า คริสตัล พาเลซ กำลังพิจารณาคว้าตัววาร์ดีไปร่วมทีมเพื่อเพิ่มประสบการณ์ในแนวรุก ขณะเดียวกันจากสเปนก็มีข่าวว่า บาเลนเซีย สนใจมอบโอกาสให้วาร์ดีได้สัมผัสลาลีกาเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้ง

นอกจากยุโรปแล้ว ยังมีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการย้ายไปเล่นใน เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ (MLS) ของสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่ง ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำลังกลายเป็นปลายทางยอดนิยมของนักเตะระดับตำนานหลายราย ด้วยข้อเสนอที่ล่อใจและความท้าทายใหม่ในเวทีต่างแดน

ไม่ว่าเขาจะเลือกเส้นทางใดต่อไป เจมี วาร์ดีจะยังคงเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในวงการฟุตบอลไปอีกนาน

บทสรุปตำนานที่ชื่อ “เจมี วาร์ดี” จากความฝันเล็กๆ สู่เกียรติยศนิรันดร์

เจมี วาร์ดี ไม่ใช่เพียงแค่นักฟุตบอล แต่เขาคือ แรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงพลังของความพยายาม ความอดทน และการไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา จากเด็กหนุ่มที่ถูกปฏิเสธจากอะคาเดมี สู่นักเตะในลีกสมัครเล่นที่ต้องทำงานในโรงงานเพื่อเลี้ยงชีพ และสุดท้ายกลายเป็นหัวหอกของทีมที่สร้างเทพนิยายฟุตบอลอย่าง “เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก 2015/16”

ตลอด 13 ปีในถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดียม วาร์ดีไม่ได้เป็นเพียงกองหน้าที่ทำประตูได้มากที่สุด แต่เขาคือหัวใจของทีม เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งการสู้จนกว่าจะชนะ ความกล้าหาญของเขาในสนามและความอ่อนน้อมนอกสนาม ทำให้เขาได้รับการเคารพทั้งจากเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลทั่วประเทศ

การอำลาของเขาในปี 2025 อาจเป็นการสิ้นสุดบทหนึ่งของเลสเตอร์ ซิตี้ แต่คือการเปิดฉากบทใหม่ในเส้นทางของนักเตะผู้ไม่มีคำว่า “พอ” ในพจนานุกรมชีวิต ไม่ว่าเขาจะเลือกค้าแข้งต่อในลีกใด วาร์ดีจะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นว่า “ความฝันจะเป็นจริงได้ หากไม่หยุดเดิน”