
ทีมชาติฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในนาม “เลอ เบลอส์” (Les Bleus) เป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกถึงสองสมัยในปี 1998 และ 2018 รวมถึงแชมป์ยุโรปในปี 1984 และ 2000 ปัจจุบัน ฝรั่งเศสครองอันดับที่ 2 ของการจัดอันดับฟีฟ่า
ประวัติความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสสร้างชื่อเสียงในวงการฟุตบอลด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาเป็น เจ้าภาพ ด้วย ภายใต้การนำของกัปตันทีม ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ และผู้จัดการทีม เอเม่ ฌักเก้ ทีมชุดนั้นประกอบด้วยนักเตะชื่อดังอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, เธียร์รี อองรี, โลร็องต์ บล็องก์, ฟาเบียง บาร์กเตซ, และ มาร์เซล เดอไซญี่ ที่ช่วยกันสร้างหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศ ฝรั่งเศสโชว์ฟอร์มเหนือชั้นเอาชนะบราซิลไป 3-0 จากสองประตูของ ซีดาน และอีกหนึ่งลูกปิดท้ายจาก เอ็มมานูเอล เปอตีต์
ความสำเร็จยังคงต่อเนื่องเมื่อฝรั่งเศสคว้าแชมป์ ยูโร 2000 ที่เนเธอร์แลนด์และเบลเยียมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ทีมชุดนี้ยังคงมี เดส์ชองส์ เป็นกัปตัน และ ซีดาน เป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง โดยฝรั่งเศสสามารถเอาชนะ อิตาลี ในนัดชิงชนะเลิศด้วย “โกลเด้นโกล” ของ ดาวิด เทรเซเกต์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ นับเป็นครั้งแรกที่ทีมจากยุโรปคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลกและยูโร ติดต่อกัน
สองทศวรรษต่อมา ฝรั่งเศสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งใน ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ภายใต้การคุมทีมของ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ซึ่งครั้งนี้เขาทำหน้าที่ในบทบาท ผู้จัดการทีม ฝรั่งเศสมีนักเตะดาวรุ่งที่กลายเป็นกำลังหลักของทีมอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป้, อ็องตวน กรีซมันน์, ปอล ป็อกบา, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ ราฟาเอล วาราน โดยทีมชุดนี้สามารถเอาชนะ โครเอเชีย ไปอย่างขาดลอย 4-2 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่งผลให้เดส์ชองส์กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะ นักเตะและผู้จัดการทีม
หลังจากนั้น ฝรั่งเศสยังคงเป็นทีมชั้นนำของโลก โดยพวกเขาคว้าแชมป์ ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021 และเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 หลังพ่ายจุดโทษให้กับอาร์เจนตินา แม้จะไม่ได้แชมป์ แต่ทีมชุดนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันระดับสูง โดยเฉพาะ เอ็มบัปเป้ ที่ยิง แฮตทริก ในนัดชิงชนะเลิศ และเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์
ปัจจุบัน ฝรั่งเศสยังคงเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก พร้อมด้วยนักเตะรุ่นใหม่ที่พร้อมจะพาทีมสู่ความสำเร็จอีกครั้ง
ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ผู้จัดการทีมผู้สร้างประวัติศาสตร์
ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ เป็นบุคคลสำคัญในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม เขาเป็นหนึ่งในสามคนในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะ ผู้เล่นและผู้จัดการทีม ร่วมกับ มาริโอ ซากัลโล และ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์
เดส์ชองส์เริ่มคุมทีมชาติฝรั่งเศสในปี 2012 หลังจากที่ฝรั่งเศสตกรอบก่อนรองชนะเลิศในยูโร 2012 ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านภายหลังการอำลาของนักเตะยุคทองชุดแชมป์โลก 1998 และยูโร 2000 ภายใต้การบริหารของเขา ฝรั่งเศสค่อย ๆ ฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ โดยพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2016 แม้จะพ่ายให้กับโปรตุเกส แต่ก็เป็นสัญญาณว่าฝรั่งเศสกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์อีกครั้ง จุดสูงสุดของเขาเกิดขึ้นใน ฟุตบอลโลก 2018 เมื่อฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่สอง ด้วยการเล่นที่มีระเบียบวินัย ผสมผสานเกมรุกอันดุดัน โดยมีดาวรุ่งอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป้ แจ้งเกิดในเวทีโลก
นอกจากนี้ เดส์ชองส์ยังนำฝรั่งเศสคว้าแชมป์ ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งแม้จะแพ้อาร์เจนตินาในการดวลจุดโทษ แต่ฝรั่งเศสยังคงแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่มีศักยภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 เดส์ชองส์ได้ประกาศว่าเขาจะ อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังจบฟุตบอลโลก 2026 นับเป็นการปิดฉากยุคทองที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้น และเป็นโอกาสสำคัญที่ฝรั่งเศสจะต้องหาผู้นำคนใหม่ที่จะสานต่อความสำเร็จของ “เลอ เบลอส์”
นักเตะความหวังในชุดปัจจุบัน
ทีมชาติฝรั่งเศสปัจจุบันมีนักเตะที่มีศักยภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล การผสมผสานระหว่างนักเตะที่มีประสบการณ์และดาวรุ่งที่กำลังมาแรง ทำให้ทีมมีความหลากหลายและยืดหยุ่นในการเล่น ตัวอย่างเช่น
- คีเลียน เอ็มบัปเป้: กองหน้าวัย 26 ปี จากเรอัล มาดริด ที่มีความเร็วและทักษะในการทำประตูสูง เขาเป็นกำลังสำคัญในแนวรุกของทีมชาติฝรั่งเศส
- อ็องตวน กรีซมันน์: กองกลางตัวรุกจากแอตเลติโก มาดริด ที่มีประสบการณ์และความสามารถในการสร้างสรรค์เกม
- อุสมาน เดมเบเล่: ปีกความเร็วสูงจากปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่มีทักษะในการเลี้ยงบอลและทำประตู
- เอดูอาร์โด้ คามาวินก้า และ ออเรเลียง ชูอาเมนี่: กองกลางดาวรุ่งจากเรอัล มาดริด ที่มีความสามารถในการควบคุมเกมและตัดเกมคู่ต่อสู้
- ไมค์ เมญอง: ผู้รักษาประตูจากเอซี มิลาน ที่มีความสามารถในการเซฟและควบคุมแนวรับ
การผสมผสานระหว่างนักเตะที่มีประสบการณ์และดาวรุ่งเหล่านี้ ทำให้ฝรั่งเศสมีทีมที่แข็งแกร่งและพร้อมแข่งขันในระดับสูง

โอกาสในการคว้าอันดับ 1 ของฟีฟ่า
ปัจจุบัน ทีมชาติฝรั่งเศส ครอง อันดับที่ 2 ของการจัดอันดับฟีฟ่า โดยมีคะแนน 1,859.78 ตามหลัง อาร์เจนตินา ที่มีคะแนน 1,867.25 เพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าฝรั่งเศสมีโอกาสสูงมากในการแซงขึ้นไปเป็นทีมอันดับ 1 ของโลกในอนาคตอันใกล้ การจะขึ้นเป็น อันดับ 1 ของโลก ได้นั้น ฝรั่งเศสจำเป็นต้อง รักษาความสม่ำเสมอในทัวร์นาเมนต์สำคัญ เช่น ฟุตบอลโลก 2026, ยูโร 2028, และยูฟ่าเนชันส์ลีก โดยเฉพาะ รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก และ การแข่งขันกระชับมิตรระดับ A ที่มีผลต่อคะแนนฟีฟ่าโดยตรง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การรักษาความแข็งแกร่งของขุมกำลังนักเตะ ทีมต้องบริหารจัดการระหว่าง นักเตะตัวหลัก กับ ดาวรุ่งที่กำลังแจ้งเกิด อย่างเหมาะสม เช่น เอนโซ เลอ เฟ, ไรอัน แชร์กี และ วาร์เรน ซาอีร์-เอเมรี ที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ การบริหารทีมโดย สมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) มีบทบาทสำคัญอย่างมาก หากสามารถสร้างระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ทั้งด้าน การพัฒนานักเตะเยาวชน, โปรแกรมฝึกซ้อมที่ทันสมัย, และ การบริหารจัดการทีมที่มีเสถียรภาพ จะช่วยให้ฝรั่งเศสเป็นทีมที่ไร้เทียมทานในเวทีโลก
เลอ เบลอส์ กับเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่
ทีมชาติฝรั่งเศสภายใต้การนำของ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ได้สร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขากลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งของโลก ด้วยโครงสร้างทีมที่มีทั้ง นักเตะประสบการณ์สูงและดาวรุ่งที่มีศักยภาพ หากฝรั่งเศสสามารถรักษาฟอร์มที่ยอดเยี่ยม และทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในการแข่งขันระดับนานาชาติ พวกเขามีโอกาสที่จะ คว้าอันดับ 1 ของฟีฟ่า และกลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังอย่างแท้จริง
สิ่งที่ฝรั่งเศสต้องโฟกัสต่อไปคือ ฟุตบอลโลก 2026 และ ยูโร 2028 ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการพิสูจน์ว่าพวกเขายังคงเป็นทีมที่ดีที่สุดในยุคนี้ การบริหารทีมหลังจากการอำลาของ เดส์ชองส์ จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องมีผู้จัดการทีมที่สามารถสานต่อความสำเร็จ และพัฒนาสไตล์การเล่นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ด้วยขุมกำลังนักเตะที่มีอยู่และโครงสร้างทีมที่ยอดเยี่ยม เลอ เบลอส์ มีศักยภาพเพียงพอที่จะครองความยิ่งใหญ่ต่อไปในวงการฟุตบอลโลก และอาจเป็นยุคที่ฝรั่งเศสกลับมาเป็นทีมที่ “ไร้เทียมทาน” อีกครั้ง