
สำรวจสาเหตุที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหาผลงานตกต่ำหลังจากการอำลาของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตั้งแต่การบริหารสโมสร ผู้จัดการทีม นักเตะ และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของทีม
จากความยิ่งใหญ่สู่ความท้าทาย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยเป็นสโมสรที่ครองความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษและยุโรปภายใต้การนำของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมระดับตำนานที่สร้างมรดกอันยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 13 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยตลอดระยะเวลา 26 ปีที่เขาคุมทีม ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้แอนฟิลด์กลายเป็นป้อมปราการที่ยากจะมีทีมใดล้มได้ และสร้างความหวังให้กับแฟนบอลว่าทีมจะรักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฟอร์กูสันอำลาตำแหน่งในปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับประสบปัญหามากมายที่ส่งผลกระทบต่อผลงานในสนามและภาพลักษณ์ของสโมสร การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมถึง 6 คนภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สม่ำเสมอและการขาดแผนระยะยาวที่ชัดเจน นอกจากนี้ การบริหารสโมสรที่เน้นผลกำไรและการตลาดมากกว่าผลการแข่งขัน รวมถึงการซื้อขายนักเตะที่ไม่ตอบโจทย์ ทำให้ทีมต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย
แฟนบอลทั่วโลกต้องเฝ้ามองทีมรักของพวกเขาต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งท็อปโฟร์แทนที่จะเป็นการลุ้นแชมป์เหมือนในอดีต ฤดูกาลปัจจุบันยังคงสะท้อนปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจน ทั้งอันดับในพรีเมียร์ลีกที่ตกต่ำ การตกรอบการแข่งขันเอฟเอคัพ และฟอร์มการเล่นที่ขาดความต่อเนื่อง บทความนี้จะพาคุณไปวิเคราะห์สาเหตุหลักที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าสู่ยุคตกต่ำ ทั้งในแง่การบริหารสโมสร ผู้จัดการทีม นักเตะ และปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จของทีม เพื่อหาคำตอบว่ามีหนทางใดบ้างที่จะช่วยคืนความยิ่งใหญ่ให้กับปีศาจแดงอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมที่ไม่สม่ำเสมอ
หลังจากการอำลาของเฟอร์กูสัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมหลายครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสม่ำเสมอของทีมอย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่เปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อยครั้ง แต่ยังเป็นการเปลี่ยนปรัชญาการเล่นและแนวทางการทำทีมอยู่ตลอดเวลา ทำให้นักเตะต้องปรับตัวใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การขาดความต่อเนื่องในแผนการและสไตล์การเล่นทำให้ทีมขาดความมั่นใจและผลงานตกต่ำในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา
- เดวิด มอยส์ (2013-2014) ได้รับการแต่งตั้งตามคำแนะนำของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่การสืบทอดตำแหน่งของเขากลับไม่ราบรื่น มอยส์มีปัญหาในการจัดการนักเตะระดับสตาร์ และสไตล์การเล่นที่เน้นเกมรับมากเกินไป ทำให้ทีมขาดความน่ากลัวในเกมรุก อีกทั้งการตัดสินใจปล่อยนักเตะสำคัญอย่าง เนมันย่า วิดิช และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยไม่ได้เสริมทัพที่เหมาะสม ทำให้ระบบการเล่นมีช่องโหว่ ส่งผลให้มอยส์ถูกปลดในเวลาเพียง 10 เดือน พร้อมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
- หลุยส์ ฟาน กัล (2014-2016) เข้ามาพร้อมกับแผนการเล่นที่เน้นการครองบอลและวินัยที่เข้มงวด แต่สไตล์การเล่นของเขากลับถูกวิจารณ์ว่าเน้นเกมรับมากเกินไปและขาดความสร้างสรรค์ในเกมรุก แม้จะสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 2016 แต่การเล่นที่น่าเบื่อและการตัดสินใจซื้อนักเตะที่ไม่ตอบโจทย์ เช่น อังเคล ดิ มาเรีย และ ราดาเมล ฟัลเกา ทำให้ทีมไม่สามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้าย ฟาน กัล ถูกปลดหลังจากพาทีมจบอันดับที่ 5 ในลีก
- โชเซ่ มูรินโญ่ (2016-2018) ได้รับการคาดหวังอย่างสูงว่าจะนำความสำเร็จกลับมาสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเขาก็สามารถคว้าแชมป์ยูโรปาลีกและลีกคัพในปี 2017 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม สไตล์การเล่นที่เน้นเกมรับและการป้องกันอย่างเข้มงวดกลับทำให้แฟนบอลไม่พอใจ ประกอบกับความขัดแย้งภายในทีม โดยเฉพาะกับ พอล ป็อกบา และการวิจารณ์นักเตะต่อหน้าสื่อ ส่งผลให้บรรยากาศในทีมตึงเครียด มูรินโญ่ถูกปลดในเดือนธันวาคม 2018 หลังจากพาทีมตกไปอยู่อันดับ 6 ของตารางและมีผลงานที่น่าผิดหวัง
- โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (2018-2021) เข้ามาคุมทีมชั่วคราวและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นเกมรุกและการโจมตีที่รวดเร็ว ในช่วงแรก โซลชาพาทีมทำผลงานได้ดีจนได้รับสัญญาถาวร แต่ปัญหาของโซลชาคือขาดประสบการณ์และความสามารถในการวางแทคติกในเกมใหญ่ นอกจากนี้ การขาดความสม่ำเสมอและการแก้เกมที่ยังไม่เด็ดขาด ทำให้ทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ใด ๆ ได้เลยแม้จะเข้าชิงหลายรายการ ส่งผลให้เขาถูกปลดในปี 2021 หลังจากทีมพ่ายต่อวัตฟอร์ดอย่างขาดลอย
- ราล์ฟ รังนิก (2021-2022) ถูกแต่งตั้งเข้ามาในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราวพร้อมภารกิจปรับปรุงทีมทั้งในและนอกสนาม แต่ระบบ “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของเขากลับไม่สามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกับนักเตะที่มีอยู่ การขาดเวลาในการเตรียมทีมและความขัดแย้งภายในสโมสรทำให้รังนิกไม่สามารถสร้างอิมแพ็คได้อย่างที่คาดหวัง ผลงานที่ไม่สม่ำเสมอและการจบอันดับที่ 6 ในพรีเมียร์ลีกทำให้เขาต้องอำลาตำแหน่งในที่สุด
- เอริค เทน ฮาก (2022-ตุลาคม 2024) ถูกแต่งตั้งเข้ามาพร้อมความหวังว่าจะสามารถปรับปรุงทีมและคืนความยิ่งใหญ่ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นการครองบอลและการเพรสซิ่งสูง แม้ว่าจะสามารถดึงนักเตะที่มีคุณภาพเข้ามาเสริมทัพ เช่น ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ แอนโทนี่ แต่การปรับตัวของนักเตะและความไม่สม่ำเสมอของฟอร์มการเล่นยังคงเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนี้ การตกรอบเอฟเอคัพและผลงานในลีกที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้เทน ฮากยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาตำแหน่งและนำทีมกลับสู่ความสำเร็จอีกครั้ง
- รูเบน อโมริม (ตุลาคม 2024-ปัจจุบัน) หลังจากการปลด เอริค เทน ฮาก ในเดือนตุลาคม 2024 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แต่งตั้ง รูเบน อโมริม เข้ามาคุมทีม โดยอโมริมเคยสร้างชื่อจากการคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสกับสปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยแผนการเล่น 3-4-3 ที่เน้นการเพรสซิ่งสูงและการโจมตีที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นการปรับตัวของนักเตะที่ขาดความสม่ำเสมอ ทั้งในเกมรับและเกมรุก, ผลงานในฤดูกาลปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รั้งอันดับที่ 14 ของตารางพรีเมียร์ลีก มีเพียง 33 คะแนนจาก 27 นัด และตกรอบเอฟเอคัพ ส่งผลให้แฟนบอลเริ่มตั้งคำถามถึงทิศทางของทีม, ความท้าทายที่ต้องเจอ อโมริมต้องเร่งแก้ปัญหาการเสริมทัพและพัฒนานักเตะเยาวชน พร้อมทั้งสร้างระบบการเล่นที่สอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของสโมสรอีกครั้ง

การบริหารสโมสรที่ขาดประสิทธิภาพ
การบริหารสโมสรหลังยุคเฟอร์กูสันถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและขาดความสม่ำเสมอในการตัดสินใจ หลายครั้งที่การบริหารของตระกูลเกลเซอร์มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรและการตลาดมากกว่าการพัฒนาผลงานในสนาม ความล่าช้าในการตัดสินใจและการขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทีมขาดความพร้อมในการต่อกรกับคู่แข่งสำคัญในพรีเมียร์ลีก
- การแต่งตั้งผู้จัดการทีม ที่ไม่สอดคล้องกับปรัชญาของสโมสรเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน นับตั้งแต่การเลือก เดวิด มอยส์ ที่มาพร้อมสไตล์การเล่นเกมรับ ไปจนถึง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เน้นเกมรับเชิงลึก ทั้งที่ปรัชญาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคือการเล่นเกมรุกที่ดุดันและน่าตื่นเต้น ความไม่สอดคล้องในปรัชญานี้ทำให้ทีมขาดความสม่ำเสมอและอัตลักษณ์ที่ชัดเจนในการเล่น
- การซื้อขายนักเตะ การซื้อขายนักเตะในยุคหลังเฟอร์กูสันถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นระบบและขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจน การใช้จ่ายเงินจำนวนมากกับนักเตะที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้ เช่น อังเคล ดิ มาเรีย, อเล็กซิส ซานเชซ และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่แม้จะมีค่าตัวสูงแต่ไม่สามารถทำผลงานได้ตามที่คาดหวัง นอกจากนี้ การขายนักเตะดาวรุ่งโดยไม่ให้โอกาสพัฒนาตัวเองก็เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงการบริหารที่ขาดวิสัยทัศน์ระยะยาว
- การบริหารภายใน ความขัดแย้งภายในสโมสรเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดความสม่ำเสมอในการทำทีม ความไม่ลงรอยระหว่างฝ่ายบริหาร นักเตะ และผู้จัดการทีม ส่งผลให้บรรยากาศภายในทีมเต็มไปด้วยความตึงเครียด ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่าง โชเซ่ มูรินโญ่ และ พอล ป็อกบา ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อบ่อยครั้ง รวมถึงการขาดความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหารในการสนับสนุนผู้จัดการทีมในตลาดนักเตะ ทำให้การพัฒนาทีมไม่สามารถเป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้
การเสริมทัพและการพัฒนานักเตะ
การเสริมทัพที่ไม่ตรงจุดและการพัฒนานักเตะเยาวชนที่ไม่ต่อเนื่องเป็นปัญหาใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน การซื้อนักเตะด้วยค่าตัวมหาศาลแต่ไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาใช้ได้ รวมถึงการละเลยการพัฒนาเยาวชนที่เป็นเสาหลักของสโมสร ทำให้ทีมขาดความลึกซึ้งและประสิทธิภาพในการแข่งขันกับทีมใหญ่
- การซื้อขายนักเตะ ในยุคหลังเฟอร์กูสันถูกวิจารณ์ว่าไร้ทิศทางและไม่สอดคล้องกับระบบการเล่นของทีม การทุ่มเงินจำนวนมากไปกับนักเตะที่มีชื่อเสียงแต่ไม่สามารถปรับตัวได้ เช่น อังเคล ดิ มาเรีย, โรเมลู ลูกากู และ อเล็กซิส ซานเชซ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน นอกจากนี้ การขายนักเตะสำคัญอย่าง โรเมลู ลูกากู และการปล่อย อันเดร์ เอร์เรร่า โดยไม่มีแผนทดแทนที่ชัดเจน ทำให้ทีมขาดความสมดุลในตำแหน่งสำคัญ
- การพัฒนานักเตะเยาวชน การขาดการพัฒนานักเตะเยาวชนอย่างเป็นระบบทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดผู้เล่นที่สามารถขึ้นมาทดแทนนักเตะตัวหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีนักเตะอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เมสัน กรีนวู้ด ที่ก้าวขึ้นมาจากอคาเดมี แต่การสนับสนุนและการให้โอกาสที่ไม่ต่อเนื่องทำให้ทีมไม่สามารถสร้างดาวรุ่งได้เหมือนในยุค “Class of 92” นอกจากนี้ การขาดการส่งเสริมนักเตะเยาวชนลงเล่นในเกมใหญ่และการส่งไปยืมตัวที่ไม่เหมาะสม ทำให้ทีมขาดความลึกซึ้งในระยะยาว

ปัจจัยภายนอกและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
การเติบโตของสโมสรคู่แข่งและการเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอลส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การที่ทีมคู่แข่งสามารถปรับตัวและพัฒนาตามยุคสมัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นทุกปี ขณะที่การปรับตัวของสโมสรยังล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ทีมต้องดิ้นรนเพื่อรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์แทนการลุ้นแชมป์อย่างที่เคยเป็น
- การเติบโตของสโมสรคู่แข่ง สโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และเชลซี ได้รับการลงทุนมหาศาลจากเจ้าของสโมสรที่มีวิสัยทัศน์และแผนระยะยาวที่ชัดเจน การทุ่มงบประมาณในการเสริมทัพด้วยนักเตะระดับโลกและการแต่งตั้งผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์สูง เช่น เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้พวกเขาสามารถยกระดับทีมได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังขาดความชัดเจนในปรัชญาการทำทีมและการลงทุนที่สอดคล้องกับยุคสมัย ทำให้การต่อกรกับคู่แข่งเหล่านี้เป็นไปอย่างยากลำบาก
- การเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอล การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและยุทธวิธีการเล่นที่ทันสมัย เช่น การใช้ข้อมูลวิเคราะห์ (Data Analytics) และ VAR (Video Assistant Referee) รวมถึงสไตล์การเล่นแบบเพรสซิ่งและการครองบอลที่ได้รับความนิยมในยุโรป ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว การที่ทีมไม่สามารถปรับใช้เทคโนโลยีและยุทธวิธีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การเผชิญหน้ากับทีมที่มีระบบการเล่นที่ชัดเจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนี้ การขาดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูลภายในทีมยังทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียเปรียบในด้านยุทธศาสตร์และการเตรียมความพร้อมในการแข่งขัน
ฤดูกาลปัจจุบัน ความท้าทายที่ยังคงอยู่
ในฤดูกาล 2024-2025 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ หลังจากการปลด เอริค เทน ฮาก ในเดือนตุลาคม 2024 เนื่องจากผลงานที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง สโมสรได้แต่งตั้ง รูเบน อโมริม เข้ามาคุมทีม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่สามารถยกระดับผลงานของทีมได้อย่างชัดเจน โดยปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รั้งอันดับที่ 14 ของตารางพรีเมียร์ลีก มีเพียง 33 คะแนนจาก 27 นัด
นอกจากนี้ การตกรอบเอฟเอ คัพ ในรอบที่ 5 หลังพ่ายแพ้ต่อฟูแล่มในการดวลจุดโทษ 3-4 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับทีม ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้แฟนบอลและสื่อมวลชนตั้งคำถามถึงทิศทางและอนาคตของสโมสร
การขาดความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่น และความไม่แน่นอนในการบริหารจัดการ ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเผชิญกับความท้าทายในการกลับสู่ความยิ่งใหญ่ การปรับปรุงทั้งในด้านการบริหาร การเสริมทัพ และการพัฒนานักเตะเยาวชน เป็นสิ่งจำเป็นที่สโมสรต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อคืนความสำเร็จและความภาคภูมิใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก ในช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและความสามัคคี เพื่อก้าวผ่านความยากลำบากนี้ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของสโมสรต่อไป