
เจาะลึกเรื่องราวของสองทีมยักษ์ใหญ่ แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอดีตและความท้าทายในปัจจุบัน สโมสรฟุตบอลทั้งสองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและความสำเร็จที่น่าทึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ โดยบทความนี้จะพาคุณสำรวจถึงรากฐานของพวกเขา ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจนถึงยุคปัจจุบัน พร้อมการวิเคราะห์ฟอร์มการเล่นในฤดูกาล 2024-2025 รวมถึงนักเตะคนสำคัญ และทิศทางอนาคตของทั้งสองทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เพียงแต่เป็นสองทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังมีฐานแฟนบอลทั่วโลกที่ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม ทุกครั้งที่ทั้งสองทีมลงสนามแข่งขัน ถือเป็นหนึ่งในแมตช์ที่ดุเดือดและได้รับความสนใจมากที่สุดในโลกฟุตบอล การแข่งขันของพวกเขาไม่เพียงเป็นเรื่องของฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสองขั้วของเมืองแมนเชสเตอร์
ประวัติและความสำเร็จของทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสองสโมสรฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและประสบความสำเร็จสูงสุดในอังกฤษ แม้ว่าทั้งสองทีมจะเริ่มต้นในยุคใกล้เคียงกัน แต่แนวทางการพัฒนาของแต่ละสโมสรกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยูไนเต็ดครองความยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน ขณะที่ซิตี้เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: ความรุ่งเรืองแห่งปีศาจแดง
“ปีศาจแดง” ก่อตั้งขึ้นในปี 1878 ในชื่อ “นิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ เอฟซี” และเปลี่ยนชื่อเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1902 โดยถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษและยุโรป โดยเฉพาะในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งเป็นผู้พาทีมคว้าแชมป์และสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสโมสรตลอดช่วงปี 1990-2013
ความสำเร็จที่โดดเด่นของแมนฯ ยูไนเต็ด
- แชมป์พรีเมียร์ลีก: 20 สมัย (ยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ครองความยิ่งใหญ่ระหว่างปี 1990-2013)
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 3 สมัย (1968, 1999, 2008)
- เอฟเอ คัพ: 13 สมัย
- ลีกคัพ: 6 สมัย
- ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ: 1 สมัย
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 1 สมัย
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ: 1 สมัย
- ยูฟ่ายูโรปาลีก: 1 สมัย
ยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยูไนเต็ด พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่มีความแข็งแกร่งทั้งในแง่ของแท็กติกและสปิริตของทีม อย่างไรก็ตาม หลังจากเฟอร์กูสันวางมือในปี 2013 ทีมต้องดิ้นรนเพื่อกลับคืนสู่ความสำเร็จแบบเดิม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้: ยุคใหม่ของเรือใบสีฟ้า
“เรือใบสีฟ้า” ก่อตั้งขึ้นในปี 1880 ในชื่อ “เซนต์มากส์ (เวสต์กอร์ตัน)” และเปลี่ยนมาเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 1894 ซิตี้เคยเป็นทีมระดับกลางจนกระทั่งในปี 2008 เมื่อกลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาซื้อสโมสรและเปลี่ยนแปลงทีมอย่างสิ้นเชิง การลงทุนจำนวนมหาศาลและการบริหารแบบสมัยใหม่ได้เปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นทีมระดับท็อปของอังกฤษและยุโรป
ความสำเร็จที่โดดเด่นของแมนฯ ซิตี้
- แชมป์พรีเมียร์ลีก: 9 สมัย (รวมถึง “เทรเบิลแชมป์” ในปี 2022-2023)
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 1 สมัย (2023)
- เอฟเอ คัพ: 7 สมัย
- ลีกคัพ: 8 สมัย
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์: 6 สมัย
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 1 สมัย
ยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถือเป็นช่วงเวลาที่ซิตี้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษและยุโรป ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นการครองบอล การโจมตีที่รวดเร็ว และการป้องกันที่แข็งแกร่งภายใต้การจัดระบบที่ยอดเยี่ยมของเขา แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่มีความเสถียรและมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งในทุกตำแหน่ง
เปรียบเทียบความสำเร็จระหว่างทั้งสองทีม
แม้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและคว้าแชมป์มากกว่าด้วยความสำเร็จในระดับประเทศและยุโรป แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคปัจจุบันสามารถก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สำคัญได้ ด้วยการบริหารจัดการที่ทันสมัยและการลงทุนอย่างชาญฉลาด ยูไนเต็ดมีแชมป์พรีเมียร์ลีกมากกว่าซิตี้ที่ 20 ต่อ 9 สมัย และยังคว้าถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาได้ถึง 3 สมัย ขณะที่ซิตี้เพิ่งได้แชมป์ครั้งแรกในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซิตี้ได้แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการคว้าแชมป์ภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก ลีกคัพ และเอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขากำลังไล่ตามยูไนเต็ดอย่างรวดเร็ว และอาจก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากกว่ายูไนเต็ดในอนาคตอันใกล้ การเปรียบเทียบระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสโมสรฟุตบอลจากยุคสมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งแมนฯ ยูไนเต็ดและแมนฯ ซิตี้ ต่างมีเส้นทางการเติบโตที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังคงเป็นสองทีมที่ขับเคลื่อนวงการฟุตบอลอังกฤษให้คึกคักและน่าติดตามเสมอ
ฟอร์มการเล่นฤดูกาล 2024-2025
ฤดูกาล 2024-2025 เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยทั้งสองทีมต่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ซิตี้ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังคงแสดงฟอร์มที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และมีความมุ่งมั่นในการลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้ง ในขณะที่ยูไนเต็ดภายใต้การนำของ รูเบน อโมริม กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงเพื่อฟื้นคืนความยิ่งใหญ่และพยายามแย่งตำแหน่งท็อปโฟร์ของลีก
แมนเชสเตอร์ ซิตี้: การลุ้นแชมป์ที่ยังคงอยู่
ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับที่ 4 ของตารางคะแนนหลังจากผ่านไป 22 นัด พวกเขาชนะ 11 นัด เสมอ 5 และแพ้ 6 ทำไปได้ 44 ประตู เสีย 29 ประตู มีผลต่างประตู +15 และมี 38 คะแนน แม้ว่าจะยังไม่สามารถครองอันดับ 1 ได้ แต่ฟอร์มการเล่นของทีมก็ยังถือว่าแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่บุกไปถล่ม อิปสวิช ทาวน์ 6-0 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจบสกอร์ที่เฉียบคมจาก ฟิล โฟเดน, มาเตโอ โควาซิซ, เฌเรมี่ โดกูวร์, อาลิง ฮาแลนด์ และ เจมส์ แม็คอาตี้ นักเตะที่โดดเด่นที่สุดของทีมยังคงเป็น อาลิง ฮาแลนด์ ที่ทำไปแล้ว 17 ประตู ขณะที่ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางที่สร้างสรรค์เกมและทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์ ซิตี้ยังคงเน้นสไตล์การเล่นที่ครองบอลเป็นหลัก และใช้เกมรุกที่หลากหลายเพื่อเจาะแนวรับคู่แข่ง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: ความพยายามกลับสู่จุดสูงสุด
ทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะมีช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีที่สุด ปัจจุบันทีมรั้งอันดับที่ 13 ของตาราง โดยลงเล่นไปแล้ว 22 นัด ชนะ 7 เสมอ 5 และแพ้ถึง 10 นัด ยิงได้ 27 ประตู เสีย 32 ประตู มีผลต่างประตู -5 และมี 26 คะแนน เกมล่าสุด ยูไนเต็ดเปิดบ้านพ่ายให้กับ ไบรท์ตัน 1-3 โดยเสียประตูจาก ยานคูบา มินเตห์, คาโอรุ มิโตมะ และ เกอร์กีนิโอ รุตเต ขณะที่ประตูตีเสมอของทีมมาจากลูกจุดโทษของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ในนาทีที่ 23 แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงพึ่งพาผู้เล่นหลักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ทำไป 8 ประตู และ 7 แอสซิสต์ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงประสบปัญหาเรื่องความต่อเนื่องในฟอร์มการเล่น และต้องพึ่งพาเกมสวนกลับเป็นหลัก เนื่องจากยังไม่สามารถควบคุมเกมได้ดีเท่าที่ควร
การเปรียบเทียบฟอร์มระหว่างสองทีม
เมื่อเปรียบเทียบฟอร์มการเล่นของทั้งสองทีมในฤดูกาลปัจจุบัน แมนฯ ซิตี้ มีความโดดเด่นด้านการทำประตู โดยทำประตูเฉลี่ย 2.8 ลูกต่อเกม ขณะที่ยูไนเต็ดมีค่าเฉลี่ยเพียง 1.9 ลูกต่อเกม ซิตี้มีการครองบอลและสร้างสรรค์โอกาสได้ดีกว่า ในขณะที่ยูไนเต็ดมักอาศัยการเล่นเกมโต้กลับและความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะในแดนหน้า โดยรวมแล้ว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงมีความแข็งแกร่งและโอกาสลุ้นแชมป์มากกว่ายูไนเต็ด ในขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงต้องแก้ไขจุดอ่อนทั้งในเกมรับและการสร้างสรรค์โอกาสทำประตูเพื่อไต่อันดับขึ้นสู่ท็อปโฟร์ให้ได้

นักเตะคนสำคัญและแผนการเล่น
ฤดูกาล 2024-2025 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างต้องการสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อตอบแทนแฟนบอลและคว้าเป้าหมายของตนเอง ทั้งสองทีมมีแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยแมนฯ ซิตี้ ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เน้นการครองบอลและการโจมตีที่รวดเร็ว ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้ รูเบน อโมริม มุ่งเน้นเกมสวนกลับที่มีประสิทธิภาพและการเพรสซิ่งที่เข้มข้น
แมนเชสเตอร์ ซิตี้: การครองบอลและเกมรุกที่ดุดัน
แมนฯ ซิตี้ ยังคงใช้ระบบ 4-3-3 ที่ยืดหยุ่น โดยเน้นการครองบอลเป็นหลักและการบุกจากริมเส้นเพื่อสร้างความได้เปรียบในแนวรุก นักเตะคนสำคัญของทีมประกอบด้วย:
- เออร์ลิง ฮาแลนด์: กองหน้าตัวเป้าที่มีความสามารถในการจบสกอร์ที่เฉียบคมและทรงพลัง ปัจจุบันทำไปแล้ว 17 ประตูในลีก
- เควิน เดอ บรอยน์: เพลย์เมคเกอร์ระดับโลกที่มีการจ่ายบอลที่แม่นยำและการควบคุมจังหวะเกมได้อย่างยอดเยี่ยม
- มัสเตโอ โควาซิซ: กองกลางตัวรับที่ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะเกมและตัดเกมคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซิตี้มีแผนเสริมทัพเพิ่มเติมในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง โดยเฉพาะการใกล้ปิดดีลกับ โอมาร์ มาร์มุช จากไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต เพื่อเพิ่มตัวเลือกในแนวรุกและหวังลุ้นแชมป์ในทุกถ้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: เกมสวนกลับและความยืดหยุ่น
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงใช้ระบบ 4-2-3-1 ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นการสวนกลับและการเล่นด้วยความเร็ว นักเตะคนสำคัญของทีมประกอบด้วย:
- มาร์คัส แรชฟอร์ด: แนวรุกตัวเก่งที่มีความเร็วและความสามารถในการยิงประตูที่เฉียบขาด แม้ว่าจะมีข่าวลือการย้ายไป เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบยืมตัวก็ตาม
- บรูโน่ แฟร์นันด์ส: กองกลางจอมสร้างสรรค์ที่สามารถยิงประตูและทำแอสซิสต์ได้อย่างต่อเนื่อง (ยิง 8 ประตู และ 7 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้)
- คาเซมิโร่: กองกลางตัวรับที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์สูงในการป้องกันเกมรุกของคู่แข่ง
ยูไนเต็ดกำลังจับตามองนักเตะใหม่เพื่อเสริมทัพ โดยเฉพาะ เจมี กิตเทนส์ ปีกดาวรุ่งจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ขณะที่ อเลฮานโดร การ์นาโช่ กำลังตกเป็นเป้าหมายของนาโปลีด้วยค่าตัว 55 ล้านยูโร
การเปรียบเทียบแผนการเล่นและความแตกต่าง
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองทีมอยู่ที่สไตล์การเล่น แมนฯ ซิตี้ ใช้แผนที่เน้นการครองบอลและสร้างเกมจากแดนกลางด้วยการต่อบอลสั้นและเคลื่อนที่ที่แม่นยำ ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด เน้นการใช้ความเร็วของแนวรุกในการเล่นเกมสวนกลับและสร้างโอกาสทำประตูจากพื้นที่ว่าง ในแง่ของการป้องกัน แมนฯ ซิตี้ มีแนวรับที่แข็งแกร่งและสามารถกดดันคู่แข่งให้เล่นในแดนของตัวเองได้ตลอดเวลา ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงต้องปรับปรุงเกมรับและการประสานงานระหว่างแผงหลังให้มีความแน่นหนามากขึ้น โดยสรุป แม้ว่าแมนฯ ซิตี้ จะมีความได้เปรียบในแง่ของฟอร์มและคุณภาพทีมที่สมดุลกว่า แต่แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงมีศักยภาพที่จะสร้างความเซอร์ไพรส์ในการแข่งขันฤดูกาลนี้ หากสามารถจัดการกับปัญหาภายในทีมและการเสริมทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศึกแมนเชสเตอร์ ใครจะครองความยิ่งใหญ่ในอนาคต
การแข่งขันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในศึกฟุตบอลที่น่าติดตามที่สุดในโลก ทั้งสองสโมสรมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเต็มไปด้วยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่เส้นทางของพวกเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งและครองความสำเร็จในปัจจุบัน ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในช่วงของการฟื้นฟูและพยายามกลับสู่ความยิ่งใหญ่ของอดีต
การเปรียบเทียบภาพรวมของทั้งสองทีม
ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูเหมือนจะมีความได้เปรียบมากกว่าในแง่ของฟอร์มการเล่นและโครงสร้างทีม พวกเขามีแผนบริหารที่เป็นมืออาชีพและการเสริมทัพที่แม่นยำ นักเตะระดับโลกอย่าง เออร์ลิง ฮาแลนด์ และ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นแกนหลักที่ช่วยให้ทีมมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่ผู้จัดการทีมอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้วางรากฐานการเล่นที่เน้นการครองบอลและความสมดุลในทุกตำแหน่ง ทำให้ซิตี้กลายเป็นทีมที่ต่อกรกับทุกสโมสรในยุโรปได้อย่างมั่นคง ในทางกลับกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องการเวลาในการปรับปรุงทีมภายใต้การนำของ รูเบน อโมริม พวกเขามีผู้เล่นที่มีศักยภาพเช่น มาร์คัส แรชฟอร์ด และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แต่ยังขาดความต่อเนื่องและความลงตัวในระบบการเล่น ยูไนเต็ดกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างทีมใหม่ที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับสูงอีกครั้ง
ปัจจัยที่ทำให้หนึ่งในสองทีมเหนือกว่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เปรียบในเรื่องของ:
- เสถียรภาพทางการเงิน และการสนับสนุนจากกลุ่มทุนอาบูดาบีที่ทำให้พวกเขาสามารถเสริมทัพได้อย่างเต็มที่
- แนวทางการบริหารที่ทันสมัย ที่เน้นการพัฒนาเยาวชนและการเสริมทีมที่ตรงจุด
- ความต่อเนื่องของผู้จัดการทีม ที่ช่วยให้ทีมมีระบบการเล่นที่มั่นคงและเข้าใจแท็กติกได้อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความได้เปรียบในเรื่องของ:
- ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสโมสร ที่แข็งแกร่งและมีแฟนบอลทั่วโลก
- ฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น ซึ่งช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับสโมสร
- ศักยภาพในการดึงดูดนักเตะระดับโลก ด้วยชื่อเสียงของสโมสร
อนาคตของทั้งสองทีมในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงมีแนวโน้มจะเป็นทีมที่ครองความสำเร็จต่อไป หากพวกเขายังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นและการเสริมทัพได้อย่างแม่นยำ ซิตี้มีแผนในการพัฒนาเยาวชนและการสร้างทีมให้มีความแข็งแกร่งในระยะยาว ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการบริหารและการเสริมทัพอย่างถูกต้อง หากสามารถหาผู้เล่นที่เหมาะสมเข้ามาเสริมทีมและวางแผนระยะยาวอย่างชัดเจน ยูไนเต็ดอาจกลับมายิ่งใหญ่และเป็นคู่แข่งสำคัญของซิตี้อีกครั้ง ศึกแมนเชสเตอร์ระหว่างสองทีมนี้ไม่มีวันจบสิ้นและยังคงเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและน่าติดตามเสมอ แมนฯ ซิตี้ ยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มคว้าแชมป์ได้อีกในอนาคต ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเร่งพัฒนาและเสริมทัพเพื่อกลับมาสู่จุดสูงสุด การลงทุนและแผนระยะยาวของทั้งสองทีมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดอนาคตของพวกเขา