
วิเคราะห์วิกฤตของเชลซี ฤดูกาล 2024-2025 ทีมที่เคยยิ่งใหญ่กำลังประสบปัญหาหลายด้าน แม้มีนักเตะค่าตัวแพงและพรสวรรค์มากมาย แต่ผลงานกลับน่าผิดหวัง หาสาเหตุที่แท้จริง และประเมินโอกาสของสโมสรในการกลับคืนสู่เวทียุโรปอีกครั้ง
เชลซี จากทีมแชมป์สู่ทีมที่ไร้เอกลักษณ์
เชลซีเคยเป็นทีมที่คู่แข่งเกรงขามในยุคของโชเซ่ มูรินโญ่, คาร์โล อันเชล็อตติ หรือแม้กระทั่ง โธมัส ทูเคิ่ล ที่พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2021 แต่ในฤดูกาล 2024-2025 ทีมกลับประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างน่าตกใจ อันดับในพรีเมียร์ลีกอยู่นอก Top 6 แถมสถิติการยิงประตูและเสียประตูไม่สมดุลอย่างยิ่ง
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ชื่อของ “เชลซี เอฟซี” กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทุกทีมในยุโรปต้องจับตามอง ด้วยการเข้ามาของโรมัน อับราโมวิชในปี 2003 เชลซีถูกปลุกให้ตื่นจากการเป็นทีมกลางตารางสู่การเป็นสโมสรระดับชั้นนำของยุโรปในเวลาไม่ถึงสิบปี พวกเขากวาดแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีกคัพ และในที่สุดก็พิชิตยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปี 2012 และอีกครั้งในปี 2021 ภายใต้การคุมทีมของโธมัส ทูเคิ่ล
ในช่วงพีคของทีม แฟนบอลจะจดจำยุคทองของโชเซ่ มูรินโญ่ ที่สร้างทีมขึ้นมาจากนักเตะอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ด, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, จอห์น เทอร์รี่ และปีเตอร์ เช็ก รวมถึงการบริหารที่เฉียบคมในตลาดนักเตะ เชลซีไม่เพียงเป็นทีมที่เล่นอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีคาแรกเตอร์ที่แข็งแกร่งชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของเจ้าของใหม่อย่างท็อดด์ โบห์ลีในปี 2022 ทำให้หลายสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป แม้จะมีเม็ดเงินมากมายในการเสริมทัพ แต่ขาดกลยุทธ์ระยะยาวและการวางแผนที่มั่นคง ในฤดูกาล 2024-2025 นี้ เชลซีตกอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง พวกเขามีขุมกำลังที่ถือว่าแข็งแกร่งระดับแนวหน้าในลีก แต่ไม่สามารถนำศักยภาพเหล่านั้นมาแปลงเป็นผลงานในสนามได้เลย
อันดับในพรีเมียร์ลีกปัจจุบันอยู่นอก Top 6 ซึ่งผิดจากเป้าหมายของสโมสรที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นฤดูกาลอย่างมาก แฟนบอลเริ่มไม่พอใจ สื่อวิจารณ์อย่างหนัก และนักเตะบางคนเริ่มหมดศรัทธาในแผนการทำทีม ความหวังในการกลับไปเล่นถ้วยยุโรปเริ่มริบหรี่ และคำถามสำคัญคือ “เชลซียังเป็นทีมที่มีเอกลักษณ์อยู่หรือไม่?” เพราะจากฟอร์มในสนามตอนนี้ พวกเขาเหมือนทีมที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ แม้จะมีขุมกำลังและทรัพยากรที่สโมสรอื่นต้องอิจฉา
สถิติที่น่ากังวลในฤดูกาล 2024-2025
- อันดับปัจจุบัน: อยู่อันดับที่ 6 หลังผ่านไป 32 นัด (ณ 14 เมษายน 2025)
- ยิงได้เพียง 56 ประตู เสียถึง 39 ประตู (ผลต่าง +17)
- ไม่สามารถชนะทีมใน Top 4 ได้เลยในฤดูกาลนี้
- คว้าชัยเพียง 2 นัดจาก 5 เกมหลังสุดในลีก
เมื่อพิจารณาจากตัวเลข เชลซีไม่ได้เป็นทีมที่แย่ในเชิงเกมรุก แต่กลับขาดประสิทธิภาพในช่วงเวลาสำคัญ โดยเฉพาะเกมที่ต้องพบกับทีมระดับท็อป ผลต่างประตูได้เสียที่เป็นบวกแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีศักยภาพในการยิงประตู แต่การพลาดโอกาสเก็บแต้มในเกมใหญ่ รวมถึงความไม่สม่ำเสมอในการเจอกับทีมระดับกลางและล่างของตาราง กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอันดับของทีม
นอกจากนี้ เกมที่ควรจะเก็บชัยชนะกลับกลายเป็นนัดที่เสียแต้ม เช่น เสมอกับทีมท้ายตารางหรือพ่ายในช่วงทดเวลา ส่งผลให้อันดับของเชลซีไม่สามารถขยับขึ้นไปในพื้นที่ยุโรปได้อย่างมั่นคง แม้จะอยู่ในอันดับ 6 แต่แรงกดดันจากทีมอันดับ 7-8 ก็ไล่จี้มาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ระยะห่างกับ Top 4 กลับกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า หากไม่สามารถเรียกฟอร์มกลับมาได้โดยเร็ว ความฝันในการกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอาจต้องเลื่อนออกไปอีกปี
นักเตะค่าตัวสูง แต่ฟอร์มต่ำกว่าคาด
เชลซีลงทุนมหาศาลในการซื้อนักเตะในช่วง 2 ปีหลัง แต่หลายคนกลับไม่สามารถยกระดับทีมได้ เช่น
- มูดริค: ย้ายมาจากชัคตาร์ โดเนตส์ก ด้วยค่าตัวกว่า 70 ล้านปอนด์ แต่ยิงประตูและแอสซิสต์น้อยมาก
- เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ: ค่าตัว 106 ล้านปอนด์จากเบนฟิก้า แม้มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถแบกทีมได้ในแดนกลาง
- นิโคลัส แจ็คสัน / คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู: เจ็บบ่อย หรือไม่สามารถสอดรับกับระบบการเล่นได้
- นักเตะดาวรุ่งอย่าง โคล พาล์มเมอร์ และ เลวี่ โคลวิลล์ แม้จะโดดเด่น แต่ยังอ่อนประสบการณ์เมื่อเทียบกับแรงกดดันของลีก
แม้รายชื่อนักเตะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยพรสวรรค์และความหวัง แต่การขาดผู้นำในสนาม และการเล่นที่ไม่สอดคล้องกับแผนของผู้จัดการทีม ทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ แฟนบอลเริ่มตั้งคำถามถึงการวางแผนระยะยาวของสโมสร รวมถึงการใช้เงินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนแนวทางใหม่ในอนาคตอันใกล้

ปัญหาแทคติกและผู้จัดการทีม
หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2023-2024 เชลซีตัดสินใจแยกทางกับโปเช็ตติโน่ และแต่งตั้งวินเชนโซ่ ‘เอนโซ’ มาเรสกา อดีตมือขวาของเป๊ป กวาร์ดิโอลา และกุนซือที่สร้างผลงานน่าประทับใจกับเลสเตอร์ ซิตี้ เข้ามารับงานในฤดูกาล 2025-2026
มาเรสกา เป็นโค้ชสายโปรเกรสซีฟที่เน้นการครองบอลและเกมรุกอย่างเป็นระบบ ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ของเจ้าของสโมสร อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องรับมือกับขุมกำลังที่มีความหลากหลายและแรงกดดันมหาศาลจากบอร์ดบริหารและแฟนบอลทั่วโลก ความสามารถในการจัดการห้องแต่งตัว การดึงศักยภาพของนักเตะออกมาให้เต็มที่ และการสร้างทีมเวิร์กที่แข็งแกร่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการพาเชลซีหลุดพ้นจากความวุ่นวายและกลับสู่เส้นทางความสำเร็จอีกครั้ง
นอกจากนี้ มาเรสกายังต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้กับนักเตะในทีม และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในห้องแต่งตัวเพื่อฟื้นคืนความสามัคคีที่หายไป หากเขาสามารถประยุกต์แนวทางการทำทีมแบบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาใช้กับเชลซีได้อย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ทีมจะกลับมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์อย่างแท้จริง
ความขัดแย้งภายในและการบริหารที่ไม่มั่นคง
ภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง ท็อดด์ โบห์ลี เชลซีใช้กลยุทธ์ “นักเตะดาวรุ่ง+สัญญาระยะยาว” ซึ่งแม้จะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน แต่ผลลัพธ์ยังไม่ปรากฏ แถมยังส่งผลให้
- ขาดผู้นำในทีม ไม่มีนักเตะประสบการณ์ที่คุมจังหวะเกมได้
- มีนักเตะมากเกินไป ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ตัวสำรอง
- ทีมงานเบื้องหลังมีความเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น ผู้อำนวยการกีฬา ทีมแมวมอง
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริหารที่รวดเร็วและต่อเนื่องยังส่งผลต่อความมั่นใจของทั้งนักเตะและทีมงานโค้ช การที่ไม่มีบุคลากรระดับสูงที่มีประสบการณ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง ทำให้การตัดสินใจในหลายกรณีดูเหมือนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของการแข่งขันระดับสูง เช่น การซื้อผู้เล่นโดยไม่มีแผนชัดเจนว่าจะใช้งานอย่างไร หรือการปล่อยนักเตะบางรายโดยไม่ได้วางแผนระยะยาวล่วงหน้า ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่เชลซีจะต้องทบทวนแนวทางการบริหารเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับสโมสรในระยะยาว
โอกาสในการไปเล่นถ้วยยุโรป
ด้วยอันดับปัจจุบัน เชลซีมีโอกาสน้อยมากในการคว้าตั๋วไปยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่ยังมีความหวังเล็กๆ ในการไปเล่น ยูฟ่า ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ ลีก หากจบอันดับที่ 7 ได้ และหวังว่าทีมที่อยู่เหนือจะพลาดในโค้งสุดท้าย การแย่งพื้นที่ยูโรปาลีกและคอนเฟอเรนซ์ลีกยังคงเปิดกว้าง โดยเฉพาะหากสโมสรที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ หรือลีกคัพ อยู่ในอันดับ Top 6 ของพรีเมียร์ลีก จะเปิดโอกาสให้ทีมอันดับ 7 ได้โควตาเพิ่มเติม เชลซีจึงต้องรักษาความสม่ำเสมอในช่วง 6 นัดสุดท้าย พร้อมภาวนาให้คู่แข่งสำคัญอย่างเวสต์แฮม, ไบรท์ตัน หรือวูล์ฟแฮมป์ตัน สะดุดบ้างในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
สิ่งสำคัญคือ เชลซีต้องเก็บชัยชนะจากเกมที่เหลือให้มากที่สุด โดยเฉพาะเกมในบ้านและการเจอกับทีมที่อันดับต่ำกว่า หากทำได้ พวกเขาอาจปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่พอมีลุ้นถ้วยยุโรป แม้ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด แต่ก็ยังดีกว่าการจบแบบว่างเปล่า ด้วยอันดับปัจจุบัน เชลซีมีโอกาสน้อยมากในการคว้าตั๋วไปยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่ยังมีความหวังเล็กๆ ในการไปเล่น ยูฟ่า ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ ลีก หากจบอันดับที่ 7 ได้ และหวังว่าทีมที่อยู่เหนือจะพลาดในโค้งสุดท้าย

ทางออกที่เป็นไปได้สำหรับเชลซี
- ลดจำนวนนักเตะในทีม เพื่อสร้างความชัดเจนและลดความตึงเครียดภายใน
- ให้โอกาสผู้จัดการทีมสร้างระบบในระยะยาว (หรือหากไม่ใช่โปเช็ตติโน่ ต้องเลือกคนที่เหมาะกับสไตล์ทีม)
- เสริมประสบการณ์ด้วยผู้นำในสนาม เช่น กัปตันที่แข็งแกร่งแบบจอห์น เทอร์รี่ ในอดีต
- เปลี่ยนวิธีบริหารจากเน้นซื้อขายเป็นสร้างความต่อเนื่อง
แนวทางเหล่านี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานเพื่อความสำเร็จในอนาคตอย่างยั่งยืน การลดจำนวนนักเตะจะช่วยให้ผู้จัดการทีมมีเวลาพัฒนาผู้เล่นได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ขณะที่การมีผู้นำในสนามไม่เพียงส่งผลในแง่แทคติก แต่ยังช่วยเสริมสปิริตและความเชื่อมั่นของเพื่อนร่วมทีม นอกจากนี้ เชลซียังต้องมุ่งมั่นในแนวทางระยะยาว ปรับกระบวนการบริหารจัดการทีมให้มีเสถียรภาพ และไม่รีบเปลี่ยนแปลงโค้ชหรือผู้บริหารบ่อยเกินไป เพื่อให้สโมสรกลับมาเป็นทีมชั้นนำที่คู่แข่งเกรงขามอีกครั้ง
เชลซีจะกลับมาได้หรือไม่
เชลซีไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดเสถียรภาพและทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีนักเตะพรสวรรค์มากมาย แต่หากขาดระบบที่มั่นคง การบริหารที่เฉียบคม และการนำจากผู้จัดการทีมที่เข้าใจ DNA ของทีม การกลับมาสู่เวทียุโรปอาจไม่ใช่เรื่องง่ายในอนาคตอันใกล้
ความสำเร็จของเชลซีในอดีตเกิดจากการผสมผสานระหว่างการลงทุนที่ชาญฉลาด ความมั่นคงในตำแหน่งผู้จัดการทีม และผู้เล่นที่มีทั้งคุณภาพและความเป็นผู้นำ ซึ่งปัจจุบันยังขาดองค์ประกอบเหล่านี้ในภาพรวม การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเท่านั้น แต่รวมถึงการบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบ หากเชลซีสามารถตั้งหลักได้ในฤดูกาลหน้า มีความชัดเจนในแนวทางการทำทีม และสร้างวัฒนธรรมทีมที่แข็งแกร่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะกลับมาเป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกและเวทียุโรปในอนาคตอันใกล้ แต่ขาดเสถียรภาพและทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีนักเตะพรสวรรค์มากมาย แต่หากขาดระบบที่มั่นคง การบริหารที่เฉียบคม และการนำจากผู้จัดการทีมที่เข้าใจ DNA ของทีม การกลับมาสู่เวทียุโรปอาจไม่ใช่เรื่องง่ายในอนาคตอันใกล้