092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

อาร์แซน เวนเกอร์ (Arsène Wenger) คือหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ด้วยวิสัยทัศน์อันล้ำสมัยและปรัชญาการเล่นที่เน้นเกมรุก เขาเปลี่ยนอาร์เซนอลให้กลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของอังกฤษและยุโรป คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04 และวางรากฐานการพัฒนานักเตะเยาวชนที่ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ติดตามเรื่องราวของเขาตั้งแต่การเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีม จนถึงบทบาทในวงการฟุตบอลปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของอัจฉริยะกุนซือลูกหนัง

อาร์แซน เวนเกอร์ (Arsène Wenger) เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1949 ในเมือง สตราสบูร์ก (Strasbourg) ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของเขาดำเนินธุรกิจร้านอาหารและบาร์เล็ก ๆ ซึ่งทำให้เวนเกอร์คุ้นเคยกับการจัดการคนและฝึกฝนทักษะการเป็นผู้นำตั้งแต่วัยเด็ก เขามักจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วยงานในร้านของครอบครัว และในขณะเดียวกันก็เริ่มหลงใหลในกีฬาฟุตบอล เวนเกอร์เข้าร่วมทีมเยาวชนของ AS Mutzig โดยลงเล่นในตำแหน่ง กองกลาง ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นการผ่านบอลและการวางบอลที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม อาชีพนักเตะของเขากลับไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะ แต่เวนเกอร์มีความมุ่งมั่นที่จะอยู่ในวงการฟุตบอลต่อไป เขาตัดสินใจศึกษาต่อด้าน เศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่ มหาวิทยาลัยสตราสบูร์ก ซึ่งทำให้เขามีความรู้ด้านการบริหารทีมและการใช้ข้อมูลวิเคราะห์เกมฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง ความรู้เหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นกุนซือที่มีวิสัยทัศน์ล้ำยุคในเวลาต่อมา

เวนเกอร์เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมกับ AS Nancy ในปี 1984 แม้ว่าจะไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้มากนัก แต่เขาก็ได้รับการยอมรับในเรื่องของการวางแผนและการพัฒนานักเตะ ต่อมาในปี 1987 เขาย้ายไปคุมทีม AS Monaco ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เวนเกอร์สร้างชื่อเสียงในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เขาพาทีมคว้าแชมป์ ลีกเอิง ในฤดูกาล 1987-88 และปั้นดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เวอาห์ ที่ต่อมากลายเป็นนักเตะชาวแอฟริกาคนแรกที่คว้ารางวัล บัลลงดอร์ รวมถึง ยูริ จอร์เกฟฟ์ เพลย์เมกเกอร์ชื่อดังของทีมชาติฝรั่งเศส ในช่วงเวลาที่คุมโมนาโก เวนเกอร์นำเอาวิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคนิคการฝึกซ้อมแบบใหม่มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โภชนาการ, สถิติในการวิเคราะห์เกม และการควบคุมความฟิตของนักเตะ สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่ล้ำหน้าสำหรับวงการฟุตบอลฝรั่งเศสในยุคนั้น และกลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่เขานำไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลในเวลาต่อมา

ก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก จุดเริ่มต้นกับอาร์เซนอล

ในปี 1996 อาร์เซนอลตัดสินใจแต่งตั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งในตอนนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่หลายคนมองว่าเสี่ยงอย่างมาก เพราะเวนเกอร์เป็น ผู้จัดการทีมชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และยังไม่เคยคุมทีมใหญ่ในอังกฤษมาก่อน การมาถึงของเขาสร้างความแปลกใจให้กับแฟนบอลและสื่อในอังกฤษไม่น้อย แต่เวนเกอร์พิสูจน์ตัวเองด้วยการนำ ปรัชญาการเล่นแบบเกมรุกและวิทยาศาสตร์การกีฬา มาประยุกต์ใช้ทันที เขาปรับปรุงทุกอย่างตั้งแต่ การควบคุมอาหารนักเตะ, การใช้สถิติในการวิเคราะห์เกม, การฝึกซ้อมที่มีระบบระเบียบ และการยืดอายุการเล่นของนักเตะ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นทีมที่มีเกมรุกดุดันและมีวินัยอย่างยิ่ง

นอกจากการยกระดับด้านกายภาพและกลยุทธ์แล้ว เวนเกอร์ยังมีสายตาเฉียบคมในการซื้อตัวนักเตะ โดยดึงดาวรุ่งฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพหลายคน เช่น ปาทริค วิเอร่า, นิโกล่าส์ อเนลก้า และเอ็มมานูเอล เปอตีต์ ผลลัพธ์คือในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองที่เขาคุมทีม เวนเกอร์สามารถพาอาร์เซนอลคว้า ดับเบิลแชมป์ (พรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ) ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นยุคทองของอาร์เซนอลอย่างแท้จริง

ยุคทองของอาร์เซนอล อินวิซิเบิล 2003-04

หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ อาร์แซน เวนเกอร์ กับอาร์เซนอลคือฤดูกาล 2003-04 ที่พาทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่าย ด้วยสถิติ 26 ชนะ 12 เสมอ และไม่แพ้ใครเลยตลอด 38 นัด ทีมชุดนี้เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกอย่าง เธียร์รี่ อองรี, พาทริค วิเอร่า, เดนนิส เบิร์กแคมป์ และโซล แคมป์เบลล์ ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพสูง การเล่นแบบครองบอลและเกมรุกที่ดุดันของอาร์เซนอลในยุคนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกทีมในพรีเมียร์ลีก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแค่เป็นการคว้าแชมป์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้าง ตำนาน “The Invincibles” ที่ยังไม่เคยมีทีมใดในพรีเมียร์ลีกทำได้อีกจนถึงปัจจุบัน ความมุ่งมั่นและปรัชญาการเล่นของเวนเกอร์ในฤดูกาลนั้นกลายเป็น มาตรฐานใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ และทำให้ชื่อของเขาถูกจารึกไว้ในฐานะหนึ่งในกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

การวางรากฐานใหม่และการสร้างสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่ได้เพียงแค่สร้างทีมที่แข็งแกร่งในสนามเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเงินของสโมสร โดยเขาสนับสนุนการสร้าง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม (Emirates Stadium) ซึ่งเป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิม ด้วยความจุกว่า 60,000 ที่นั่ง การย้ายสนามในปี 2006 ทำให้สโมสรต้องประหยัดงบและจำใจต้องขายนักเตะดาวดังหลายคน เช่น เธียร์รี่ อองรี และเชส ฟาเบรกาส เพื่อชำระหนี้สินและรักษาสถานะทางการเงินของทีม อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถในการพัฒนานักเตะเยาวชนและการซื้อตัวผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพ เวนเกอร์ยังคงพาอาร์เซนอล จบท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีกและคว้าสิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้ต่อเนื่องถึง 19 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่และแสดงถึงความสามารถอันโดดเด่นของเวนเกอร์ในการบริหารทั้งในและนอกสนาม

มรดกที่เวนเกอร์ทิ้งไว้ให้ฟุตบอลอังกฤษ

แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงหลัง แต่ อาร์แซน เวนเกอร์ มีบทบาทสำคัญในการ เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลอังกฤษ อย่างลึกซึ้ง เขาคือผู้ริเริ่มนำเอา โภชนาการและวิทยาศาสตร์การกีฬา มาใช้ในฟุตบอลอังกฤษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการควบคุมอาหารและโปรแกรมฝึกซ้อมที่ทันสมัย เพื่อ ยืดอายุการเล่นของนักเตะ และเพิ่มประสิทธิภาพในการลงสนาม นอกจากนี้ เวนเกอร์ยังเป็นคนแรก ๆ ที่ใช้ สถิติและข้อมูลเชิงลึก ในการวิเคราะห์เกมและการซื้อตัวนักเตะ ทำให้การเสริมทัพของอาร์เซนอลมีความแม่นยำและคุ้มค่ามากขึ้น

อีกหนึ่งมรดกสำคัญที่เวนเกอร์ทิ้งไว้คือ ระบบเยาวชนที่มีประสิทธิภาพ เขาให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งหลายคนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่และพัฒนาพวกเขาให้กลายเป็นกำลังหลักของทีมในระยะยาว ตัวอย่างเช่น แจ็ค วิลเชียร์, เชส ฟาเบรกาส และอเล็กซ์ อิโวบี้ นอกจากนี้ เวนเกอร์ยังมีส่วนสำคัญในการสร้าง พรีเมียร์ลีกให้เป็นลีกที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยนักเตะคุณภาพจากทั่วโลก ด้วยการดึงนักเตะต่างชาติเข้ามาและยกระดับมาตรฐานของฟุตบอลอังกฤษจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก

บทบาทใหม่ในวงการฟุตบอลหลังเกษียณ

หลังจากอำลา อาร์เซนอล ในปี 2018 ซึ่งเป็นการปิดฉากการคุมทีมยาวนานกว่า 22 ปี อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่ได้ห่างหายจากวงการฟุตบอล เขาได้รับตำแหน่งเป็น หัวหน้าฝ่ายพัฒนาฟุตบอลระดับโลกของฟีฟ่า (FIFA’s Chief of Global Football Development) โดยมีหน้าที่สำคัญในการ กำหนดแนวทางและนโยบายในการพัฒนาฟุตบอลในระดับนานาชาติ

หนึ่งในบทบาทสำคัญของเวนเกอร์คือ การผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยี VAR (Video Assistant Referee) อย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังเสนอแนวคิดในการปรับเปลี่ยนกติกา เช่น การไม่ให้มีการล้ำหน้าแบบเฉือนกัน (Margin of Offside) และ การปรับรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลโลกให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น รวมถึงการผลักดันแผนการ จัดฟุตบอลโลกทุก ๆ 2 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาติเล็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น บทบาทใหม่นี้ทำให้เวนเกอร์ยังคงเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการฟุตบอลระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่ใช่แค่ผู้จัดการทีมที่พา อาร์เซนอล คว้าแชมป์เท่านั้น แต่เขาคือ นักปฏิวัติวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่นำเอาวิทยาศาสตร์การกีฬาและปรัชญาการเล่นแบบ เกมรุกที่สวยงามและมีประสิทธิภาพ มาใช้จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของพรีเมียร์ลีก วิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบเยาวชน, การใช้ข้อมูลวิเคราะห์เกม และการบริหารจัดการที่มีระเบียบวินัยสูงทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของยุโรป ความสำเร็จในยุค “อินวิซิเบิล” ฤดูกาล 2003-04 และการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายยังคงเป็นตำนานที่แฟนบอลพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากความสำเร็จในสนามแล้ว มรดกที่เวนเกอร์ทิ้งไว้ให้วงการฟุตบอลคือ แนวทางการบริหารทีมและการพัฒนานักเตะเยาวชน ที่ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน บทบาทใหม่ในฐานะ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาฟุตบอลระดับโลกของฟีฟ่า ยิ่งทำให้เขามีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของฟุตบอลระดับโลก แม้ว่าเขาจะอำลาจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไปแล้ว แต่ชื่อของ “อาร์แซน เวนเกอร์” จะยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะ หนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และเป็นแรงบันดาลใจให้กับกุนซือรุ่นใหม่ทั่วโลก