092-902-6146 , 092-902-6156 ezgoalnew@gmail.com

อันเดรีย ปีร์โล หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ผู้มีวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม จ่ายบอลแม่นราวจับวาง และเป็นมิดฟิลด์ที่เปลี่ยนเกมจากแดนกลาง เขาคือผู้นำยูเวนตุสและเอซี มิลานสู่ความสำเร็จ คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอาหลายสมัย รวมถึงเป็นฮีโร่ของอิตาลีในฟุตบอลโลก 2006 ติดตามเรื่องราวของเขาตั้งแต่การเริ่มต้นอาชีพนักเตะ จนถึงบทบาทในวงการฟุตบอลปัจจุบัน

อันเดรีย ปีร์โล เพลย์เมกเกอร์ผู้เป็นตำนาน

อันเดรีย ปีร์โล (Andrea Pirlo) เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 1979 ในเมือง แฟลโร (Flero) แคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ขึ้นชื่อด้านวัฒนธรรมฟุตบอลและมีทีมดังมากมาย เช่น เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน การเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฟุตบอลทำให้ปีร์โลได้รับอิทธิพลจากเกมลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่วัยเด็ก เขาแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านฟุตบอลที่โดดเด่น โดยเฉพาะทักษะในการควบคุมบอล การจ่ายบอลที่แม่นยำ และการอ่านเกมที่ชาญฉลาด ครอบครัวของเขาสนับสนุนให้เขาเดินตามเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มที่ และเมื่ออายุ 6 ปี ปีร์โลก็เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังกับทีมท้องถิ่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ปีร์โลกลายเป็นดาวเด่นของทีมเยาวชน เขาเข้าร่วม อะคาเดมีของสโมสรเบรสชา (Brescia Calcio) ทีมบ้านเกิดที่มีชื่อเสียงด้านการปั้นดาวรุ่ง เขาพัฒนาเทคนิคและทักษะของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนได้รับโอกาสลงเล่นให้กับ ทีมชุดใหญ่ของเบรสชาเมื่ออายุเพียง 16 ปี ในปี 1995

  • ช่วงแรกของอาชีพค้าแข้ง ในช่วงแรกของอาชีพ ปีร์โลลงเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรุก (Trequartista) เนื่องจากความสามารถในการสร้างสรรค์เกม การยิงไกล และการจ่ายบอลที่เฉียบคม เขาได้รับการจับตามองจากแมวมองหลายทีมในเซเรียอา เนื่องจากเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีทักษะสูงและมีสไตล์การเล่นที่สง่างาม
  • จุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพ: การกลายเป็น Regista แม้ว่าปีร์โลจะทำผลงานได้ดีในบทบาทกองกลางตัวรุก แต่เมื่อย้ายไปเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน ในปี 1998 เขากลับไม่สามารถสร้างอิมแพ็กต์ได้มากนัก อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่สำคัญในอาชีพของเขาเกิดขึ้นระหว่างการถูกปล่อยยืมตัวกลับไป เบรสชาในปี 2001 ซึ่งที่นั่นเขาได้ทำงานร่วมกับ คาร์โล มัซโซเน่ (Carlo Mazzone) และ โรแบร์โต้ บาจโจ้ (Roberto Baggio)

มัซโซเน่เป็นคนแรกที่เห็นศักยภาพของปีร์โลในการเป็น Regista (กองกลางตัวคุมจังหวะ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เล่นอยู่หน้าแนวรับและทำหน้าที่กำหนดจังหวะของเกมแทนที่จะเป็นเพลย์เมกเกอร์ตัวรุก หลังจากได้รับบทบาทใหม่นี้ ปีร์โลสามารถใช้ทักษะการจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยมของเขาได้อย่างเต็มที่ และสามารถควบคุมเกมจากแดนลึกได้ดีกว่าที่เคย บทบาทใหม่นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานของปีร์โล และทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

การแจ้งเกิดกับเอซี มิลาน จุดเริ่มต้นของตำนานกองกลางตัวคุมเกม

หลังจากถูก อินเตอร์ มิลาน ดึงตัวไปในปี 1998 และไม่ได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก ปีร์โลถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นกับ เรจจิน่า และกลับไปเบรสชาในฤดูกาล 2000-01 ซึ่งที่นี่เขาได้ร่วมงานกับ คาร์โล มัซโซเน่ และ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ซึ่งช่วยให้เขาปรับสไตล์การเล่นของตัวเอง ในปี 2001 ปีร์โลย้ายไปร่วมทีม เอซี มิลาน และได้ทำงานร่วมกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ปรับตำแหน่งของเขาให้ถอยลงมาเป็น กองกลางตัวคุมจังหวะ (Deep-lying playmaker) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับสไตล์ของเขาที่สุด ผลงานที่โดดเด่นกับเอซี มิลาน ในยุคทองของเอซี มิลาน ปีร์โลเป็นหัวใจของแดนกลาง ควบคู่กับ เจนนาโร่ กัตตูโซ่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ กาก้า ทีมชุดนี้ถือเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของมิลาน

  • คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา (2003-04, 2010-11)
  • คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย (2002-03, 2006-07)
  • คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย (2002-03)
  • คว้าแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ (2007)

ย้ายสู่ยูเวนตุส การคืนชีพและยุคทองของกัลโช่ เซเรียอา

ในปี 2011 หลังจากสิ้นสุดสัญญากับเอซี มิลาน อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือของ ยูเวนตุส ตัดสินใจดึงปีร์โลมาร่วมทีมแบบฟรีเอเย่นต์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในดีลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ปีร์โลไม่เพียงคืนฟอร์มเก่ง แต่ยังเป็นจอมทัพที่พา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา 4 สมัยติดต่อกัน (2011-2015) และกลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของอิตาลีอีกครั้ง ผลงานที่โดดเด่นกับยูเวนตุส

  • คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา 4 สมัย (2011-12, 2012-13, 2013-14, 2014-15)
  • คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย (2014-15)
  • พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2014-15

จุดเด่นของปีร์โล

  • การจ่ายบอลยาวที่แม่นยำ
  • ความสามารถในการควบคุมจังหวะของเกม
  • ฟรีคิกอันตรายที่ทำให้เขาได้รับฉายา “Maestro”

วีรบุรุษของทีมชาติอิตาลี ฟุตบอลโลก 2006 และยูโร 2012

หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีร์โลคือ ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการพา ทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์โลก

ผลงานเด่นในฟุตบอลโลก 2006

  • ทำประตูสำคัญในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แอสซิสต์ให้ฟาบิโอ กรอสโซ่ทำประตูในรอบรองชนะเลิศกับเยอรมนี
  • ยิงจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส พาอิตาลีคว้าแชมป์

ยูโร 2012

  • ปีร์โลเป็นหัวใจของทีม และโชว์ฟอร์มสุดยอดในรอบก่อนรองชนะเลิศกับอังกฤษ ด้วย “Panenka Penalty” สุดคลาสสิก

ช่วงท้ายอาชีพและบทบาทโค้ช

หลังจากประสบความสำเร็จกับยูเวนตุส ปีร์โลย้ายไปเล่นใน MLS กับนิวยอร์ก ซิตี้ ในปี 2015-2017 ก่อนจะแขวนสตั๊ด เส้นทางโค้ช ในปี 2020 ปีร์โลได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เฮดโค้ชของยูเวนตุส แต่ผลงานไม่เป็นไปตามคาด เขาถูกปลดในปี 2021 หลังพาทีมจบอันดับ 4 ในลีก ปัจจุบัน ปีร์โลยังคงอยู่ในวงการฟุตบอล โดยมีแนวโน้มว่าจะหาประสบการณ์ใหม่เพื่อกลับมาสู่เส้นทางโค้ชในอนาคต

อันเดรีย ปีร์โล กับความเป็นตำนานที่ไม่มีวันจางหาย

อันเดรีย ปีร์โล ไม่ใช่แค่นักฟุตบอลธรรมดา แต่เขาคือศิลปินลูกหนังที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดของตำแหน่ง Regista หรือกองกลางตัวคุมเกมให้กลายเป็นบทบาทที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฟุตบอลยุคใหม่ ด้วยสไตล์การเล่นที่สง่างาม การจ่ายบอลที่แม่นยำราวจับวาง และความสามารถในการควบคุมจังหวะของเกม เขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกองกลางรุ่นหลัง ปีร์โลคว้าแชมป์มากมายทั้งกับ เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และทีมชาติอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น กัลโช่ เซเรียอา, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก, ฟุตบอลโลก 2006 และถ้วยรางวัลอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงความยอดเยี่ยมของเขา นักเตะหลายคนในยุคปัจจุบัน เช่น มาร์โก แวร์รัตติ, โทนี่ โครส, โรดรี้ และจอร์จินโญ่ ต่างยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจจากปีร์โล

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงเล่นอีกต่อไป แต่ชื่อของ “อันเดรีย ปีร์โล” จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลที่สง่างามและชาญฉลาดตลอดไป